ขณะที่ทั้งสามคนยังนั่งคุยกันอยู่นี้อากาศก็เริ่มเย็นลงเรื่อยๆ เสียงน้ำค้างที่เกาะตามใบพญาสัตบันหยดลงมากระทบหลังคาห้องครัวดังเปาะแปะๆ แสงจันทร์จากแม่จันทราสาดส่องลงมาทั่วบริเวณทำให้เห็นลานหญ้าสว่างสลัวๆ เป็นหย่อมๆ ทั้งยังขับให้ดอกแก้วสีขาวนวลงามตาส่งกลิ่นหอมกระจายไปทั่วทั้งบริเวณ
เดอลองกองรสชาดหวานหอมเจือด้วยแอลกอฮอล์ปริมาณต่ำๆกำลังแผ่ซ่านไปในกระแสเลือดของคนทั้งสามจนถึงระดับที่ร่างกายเริ่มจะรับไม่ไหว
“ คุณลุงครับห้องน้ำอยู่ตรงไหนครับ ”
ปรีชาชี้ห้องน้ำที่อยู่ด้านหลังห้องครัวให้หนุ่ยดู
“ ดาไปด้วยค๊ะ ปวดตั้งนานแล้วแต่ดาไม่กล้าไปคนเดียว...ดากลัวผี...”
พอเสร็จกิจดาเดินเกาะแขนหนุ่ยกลับมาจากห้องน้ำด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน พอมาถึงโต๊ะขณะที่เธอกำลังขยับเก้าอี้เพื่อที่จะเข้านั้งก็มีนกเค้าแมวตัวใหญ่ส่งเสียงร้องแก๊ก..แก๊ก.. บินผ่านหลังคาโรงครัวไป ดาตกใจมาก เธอร้องว้าย!..ทิ้งเก้าอี้หกคะเมนแล้วกระโดดตัวลอยกอดคอหนุ่ยไว้แน่นจนหนุ่ยเสียหลักเซถอยหลังไปสองสามก้าวเกือบล้มทั้งยืน ปรีชาหัวเราะหึ หึ ทั้งที่ยังคาบไปน์อยู่
“ เห็นไหมล่า ดาว่าแล้ว ฮือ..ฮือ..หนุ่ยช่วยดาด้วย ฮือ..ฮือ...” ดาหน้าซีดเผือด พูดพลางเขย่าคอหนุ่ยพลาง พอตั้งหลักได้หนุ่ยก็กอดเธอไว้แน่นแล้วใช้มือลูบที่ศรีษะเธอเบาๆ
“ ไม่มีอะไรหรอก แค่นกเอง มันไปแล้ว ”
“ ไม่มีอะไรได้ยังไง ก็นกนั่นแหละ ร้องน่ากลัวจะตาย แล้วมันมาทำไมตอนนี้ก็ไม่รู้ ดายิ่งกลัวๆ อยู่ด้วย ดูซิมืดก็มืด อากาศก็เย็น จะไม่ให้ดากลัวได้ยังไงแล้วหนุ่ยไม่กลัวรึไง ”
“ ถ้าหนุ่ยกลัวแล้วใครจะช่วยดาหละ ดูซิคุณลุงก็ยังอยู่ ไม่เห็นมีใครกลัวเลย ”
หนุ่ยปลอบพร้อมกับชวนให้ดาหันไปดูปรีชาที่นั่งจุดไฟแช็คส่องหน้าตัวเอง แสงจากไฟแช็คขับให้ใบหน้าแก่ๆ ของปรีชาบางส่วนเด่นขึ้นมาตัดกับแสงสลัวๆ ของเทียนทีจุดอยู่กลางโต๊ะ พอดาเห็นหน้าปรีชาเธอก็หันหน้ากลับไปซบที่ไหล่ของหนุ่ยเหมือนเด็กหญิงตัวเล็กๆ ปากก็บ่นอุบอิบพอให้มีเสียงลอดออกมาจากซอกคอของหนุ่ย
“ คุณลุงอีกคนหนึ่ง เล่นอะไรก็ไม่รู้ ฮือ..ฮือ.. ”
“ คาย...เล่น...อา...ราย...ฮือ....ฮือ...ฮือ...” ปรีชาทำเสียงกระเซ้าดา
“ คุณลุงง่า...ดากลัว..แล้วคืนนี้ดาจะนอนยังไงเนี่ย...”
“ มีอะไรเหรอหนูดา ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลย ”
หนุ่ยแกะขาดาออกจากเอวให้ดาลงมายืน แล้วค่อยๆ ปลดมือดาออกจากคอแล้วจูงแขนเธอมานั่งที่เก้าอี้ตามเดิม
“ ก็นกเนี่ยมันร้องน่ากลัวนี่ค๊ะ แล้วคนโบราณเขาก็ว่าเวลามันร้องที่บ้านใครบ้านนั้นต้องมีคนตายหรืออะไรอย่างนั้นแหละ ”
“ แต่มันก็มาและร้องอย่างนี้บ่อยๆ ลุงก็ไม่เห็นมีใครเป็นอะไรนี่ ”
“ คุณยายของดาเล่าให้ฟังนี่คะว่าที่บ้านนอกตอนคุณยายเป็นเด็กๆ นะ เวลานกนี้มาร้องตอนกลางคืนมันต้องมีคนตายนะ ”
“ แล้วตอนนี้คุณยายของหนูอายุเท่าไหร่ ”
“ เจ็ดสิบกว่าเกือบแปดสิบแล้วคะ ”
“ ถ้าคุณยายอายุเกือบแปดสิบแล้ว มันก็จริงของคุณยายหนูนะ เอางี้ไม้ลุงจะเล่าอะไรให้ฟังเอาไม้ ” ปรีชาต้องเปลี่ยนเรื่องมาพูดเรื่องใหม่เพื่อให้แขกของเขาเกิดความสบายใจก่อน
“ เรื่องผีหรือคะ หนูไม่เอาหนูไม่อยากฟัง หนูกลัวผี ”
“ เปล่า..ไม่ใช่เรื่องผีเรื่องสางอะไรทั้งนั้น ก็เรื่องนกนี้แหละ
เมื่อก่อนนะบ้านเมืองยังไม่เจริญ อย่างบ้านนอกหรือต่างจังหวัดที่คุณยายของหนูอยู่ตอนเป็นเด็กๆ เนี่ยไฟฟ้ายังไปไม่ถึง สภาพแวดล้อมก็เป็นป่าเป็นดอยเป็นท้องไร่ท้องนา กิจกรรมตอนกลางคืนก็ไม่มีอะไร ร้านอาหารก็ไม่มี คาราโอเกะก็ไม่มี พอค่ำลงทุกคนก็อยู่บ้านใครบ้านมัน จุดตะเกียงน้ำมันก๊าดควันโขมงเพดานบ้านเอยมุ้งเอยดำไปหมด บ้านไหนมีฐานะดีหน่อยก็จะใช้ตะเกียงเจ้าพายุ จุดทีสว่างทั้งบ้าน ลูกเด็กเล็กแดงกินข้าวเย็นเสร็จก็จะมานั่งล้อมตะเกียงฟังผู้ใหญ่เขาคุยกันบ้างเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ฟังบ้าง ทุ่มสองทุ่มเขาก็ดับตะเกียงเข้านอนเพราะพรุ่งนี้ต้องออกไปทำงานในไร่ในนากันต่อ มองไปทางไหนก็มืดไปหมดนอกจากช่วงเทศกาลที่มีงานวัดงานบุญหรือเวลาที่กำนัน ผู้ใหญ่บ้านเขาเรียกประชุมคนถึงจะจุดไต้จุดคบออกนอกบ้านกันทีไม่งั้นทั้งหมู่บ้านก็จะอยู่ในความมืด ไฟส่องถนนหนทางก็ไม่มี แต่ก็จะมีบางบ้านที่จุดตะเกียงอยู่กันทั้งคืน ”
“ ทำไมหรือครับ ”
“ บ้านไหนจุดตะเกียงอยู่กันทั้งคืนแสดงว่าบ้านนั้นมีคนป่วย ญาติพี่น้องต้องเฝ้าไข้ผลัดกันลุกขึ้นมาดูแลทั้งคืน เยียวยากันตามประสาคนบ้านนอกข้าวเสก ข้าวสาร ยาต้มยาตำ สุดแต่ว่าจะหาอะไรได้โชคดีก็รอดโชคร้ายก็ตาย ส่วนใหญ่จะตายกันหมด
ทีนี้อย่างที่ลุงบอกนั่นแหละ สภาพแวดล้อมมันเป็นป่าเป็นดอย ต้นไม้เยอะบ้านก็อยู่ห่างกันมองหากันก็ไม่เห็น แต่พวกนกแสก นกเค้าแมวมันเป็นนกที่ออกหากินเวลากลางคืนมันมองเห็นในความมืดได้มันก็ออกหาจับหนูจับสัตว์ตัวเล็กๆ กินเป็นอาหาร ธรรมชาติของนกพวกนี้เวลามันบินอยู่สูงมันก็เห็นแสงไฟ มันนึกว่าไฟไหม้ป่า มันก็บินมาที่ๆ มีไฟสว่างเพื่อจะหาอาหาร มันรู้โดยสัญชาติญาณว่าเวลาไฟไหม้ป่าจะมีสัตว์ตัวเล็กๆ วิ่งหนีไฟอย่างพวกหนู พวกตุ่น กระต่าย กบเขียด แล้วเวลามันบินมามันก็จะส่งเสียงร้องเป็นการประกาศศักดิ์ดาว่าข้ามาแล้วโว้ย ข้าเห็นไฟก่อน พวกเอ็งอย่าเข้ามากันนะไม่งั้นเป็นเรื่อง เวลามันร้องนะได้ยินกันไปสามบ้านสี่บ้านเพราะกลางคืนมันเงียบ ชาวบ้านที่อยู่ระแวกนั้นก็จะได้ยินเสียงมันร้อง พอตื่นเช้าเขาก็เล่าลือกันว่าคนบ้านโน้นตาย อันที่จริงมันตายเพราะรักษาไม่ถูกกับโรค ยาไม่ดีมันจึงตาย แต่ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ประกอบกับการที่ได้ยินเสียงนกร้องเมื่อคืน ชาวบ้านก็เอาเสียงนกร้องกับความตายมาสัมพันธ์กัน ทีนี้พอเป็นอย่างนี้หลายๆ ครั้งคนก็เริ่มเชื่อว่าเวลาทีนกพวกนี้ร้องจะต้องมีคนตายในหมู่บ้าน แล้วความเชื่ออย่างนี้มันก็เล่าสืบกันมาสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน แล้วลูกหลานก็เชื่อโดยที่ไม่ได้พินิจพิเคราะห์หาเหตุผลที่แท้จริง ทั้งๆ ที่มันมีเหตุของมันอยู่ ”
“ อย่างนี้ก็หมายความว่าที่มันมาก็เพราะมันเห็นเราเปิดไฟอยู่นะซิค๊ะ”
“ ก็อย่างนั้นแหละ มันไม่มีอะไรหรอก แล้วลุงก็ต้องอธิบายอย่างนี้ทุกครั้งเวลาคนพักที่นี่รู้สึกกลัวอย่างหนูนะ”
“ ทีแรกผมก็นึกกลัวๆ เหมือนกันนะครับ แต่พอฟังคุณลุงอธิบายแล้วผมว่าก็สมเหตุสมผลดี ไม่มีอะไรน่ากลัว ”
“ ฮั่นแน่....เห็นไหมล่า ทีแรกหนุ่ยก็กลัวเหมือนกันแหละ แหมทำฟอร์มเนียนเชียวนะ”
“ แล้วทีนี้หายกลัวกันหรือยังละ”
“ ค๊ะ แต่ก็....”
“ ยังมีนิดๆ ใช่ไหม เอ้ามาดื่มเรียกขวัญกันหน่อย ” ปรีชายื่นแก้วออกไปชวนทุกคนดื่มเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติหลังจากที่สังเกตุเห็นว่าวิภาดายังไม่วางใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้ว่าปรีชาได้อธิบายถึงเหตุผลต่างๆ ให้ฟังแล้วก็ตาม เขาจึงยกตัวอย่างเกี่ยวกับความเชื่อทำนองนี้ให้ฟังอีก
“ มันยังมีเรื่องราวต่างๆ อีกเยอะแยะมากมายที่เป็นความเชื่อของคนสมัยก่อนที่ได้รับการเล่าขานสืบต่อกันมาและหลายคนก็เชื่อตามนั้นโดยที่ไม่ได้คิดหาเหตุและผลที่แท้จริงของมัน เราคงจะเคยได้ยินกันว่าเวลาเข้าป่าห้ามก้มกินน้ำในลำห้วยหรือห้ามเอาหม้อไปตักน้ำในลำห้วยหรือเวลาเข้าป่าห้ามพูดเรื่องที่ไม่ดีเรื่องลามกหรืออะไรต่ออะไรเพราะจะทำให้เกิดเหตุร้ายอย่างนี้ใช่ไหม”
“ ใช่ครับ ผมเคยได้ยินอะไรทำนองนี้แหละว่าห้ามโน่นห้ามนี่เพราะจะทำให้เกิดเหตุร้ายแต่เรื่องที่ลุงว่ามานี้ผมยังไม่เคยได้ยิน มันเป็นอย่างไรหรือครับ ”
“ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามนะ มันก็มีเหตุผลของมันทั้งนั้นแหละแล้วแต่ใครจะคิดได้ ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยคิดถึงกัน คนเรามักจะเชื่อตามเขาว่าตามพ่อแม่ว่าตามบรรพบุรุษว่า เพราะเวลาเด็กถามผู้ใหญ่ก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมเขาให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้และมักจะพูดตัดรำคาญว่า ทำๆ ตามที่บอกก็แล้วกันไม่ต้องถามว่าทำไม จริงๆ มันก็เป็นเรื่องดีเพราะทำให้ง่ายต่อการอยู่ร่วมกัน ง่ายต่อการปกครองและง่ายต่อการทำงานร่วมกัน
อย่างที่ว่าเวลาเข้าป่าห้ามก้มกินน้ำในลำห้วยผีป่าจะลงโทษ ผีป่าจะมาบีบคอ แล้วจะต้องตาย เรื่องของเรื่องมันก็คือ ในป่าสมัยก่อนนะไม่ว่าที่ไหนมันก็เป็นป่าดงดิบทั้งนั้น มันมีความชื้นอยู่ตลอดปีพวกทากเนี่ยมีอยู่เยอะ รู้จักทากกันไหม ทากมันก็เหมือนปลิงที่อยู่ตามลำน้ำคอยดูดเลือดสัตว์เลือดคนที่ลงไปในน้ำ แต่ทากนี้มันอยู่บนบก ตัวคล้ายกันเลย ดูดเลือดเป็นอาหารเหมือนกัน ปลิงกระโดดไม่ได้แต่ทากมันกระโดดได้ พอคนเข้าป่าเดินทางอยู่ในป่าเหนื่อยๆเห็นน้ำในลำห้วยใสไหลเย็นก็ลงไปหมอบกินก้มกิน พวกทากที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น ตัวเล็กๆ นะลูกมันอาจจะตัวประมาณเส้นผมไม่สังเกตก็มองไม่เห็น คนมันเหนื่อยนะ อยู่ในป่าเนื้อตัวมอมแมม เศษไม้ใบไม้เล็กๆ ติดตามผมตามหน้าตามตัวมันเป็นเรื่องปกติ ก็เอามือปัดๆสางๆ มันไปไม่ได้สนใจว่ามันจะเป็นอะไร บางทีติดอยู่ตั้งนานก็ไม่รู้ตัว เพราะมัวแต่ดูนั่นดูนี่หาเห็ดหาอาหาร ทีนี้เวลาก้มลงกินน้ำพวกทากเล็กๆ มันก็กระโดดเกาะถ้าติดตามหน้าก็ยังพอมองเห็นหรือลูบคลำเจอเวลาล้างหน้า แต่บางตัวมันกระโดดเข้าไปในจมูกในหู เราก็ไม่รู้ตัว มันคลานเข้าไปฝังตัวอยู่ข้างในใช้ปากดูดกินเลือดเรา คนเดินป่าเมื่อก่อนบางทีก็ไปเป็นแรมเดือนกว่าจะกลับออกมา บางคนก็ไม่ได้กลับตายอยู่กลางป่า บางคนออกมาได้ทันแต่ก็มาตายที่บ้าน เพราะอะไร ก็เพราะทากที่มันเข้าไปอยู่ข้างในมันกินเลือดเราโตวันโตคืนจนใหญ่คับโพรงจมูกแถมยังมีพวกเชื้อโรคต่างๆ อีก เจ้าตัวมันก็ไม่สบายเป็นไข้หายใจไม่ออก คนเราเวลาหายใจไม่ออกก็พยายามที่จะทุบอกทุบหลัง กระทั่งบีบคอพยายามเค้นเอาไอ้สิ่งที่อยู่ข้างในออกมาเพื่อให้หายใจได้ คนอื่นไม่รู้ว่ามันคืออะไรแม้แต่เจ้าตัวมันเองก็ไม่รู้ มันก็พยายามบีบคอตัวเองจนเขียวช้ำไปหมด สุดท้ายพอทากที่อยู่ข้างในมันกินเลือดจนตัวพองคับหลอดลมไอ้คนนั้นหายใจไม่ออกมันก็ตาย คนเห็นก็นึกว่าผีป่าผีเขามาบีบคอมันตาย พวกที่เข้าป่าด้วยกันก็พยายามหาสาเหตุของการตายด้วยปัญญาเท่าที่จะมีว่าเป็นเพราะอะไร คนนั้นก็ว่าอย่างนั้นคนนี้ก็ว่าอย่างนี้สุดท้ายก็ลงเอยกันว่าเป็นเพราะมันก้มกินน้ำในลำห้วย มันไม่เคารพเจ้าป่าเจ้าเขา พอเจ้าหมอนั่นตายทากที่อยู่ข้างในไม่มีเลือดให้ดูดมันก็ออกมาข้างนอก ญาติหรือสับปะเหร่อเห็นเข้าก็เลยไปกันใหญ่เลยทีนี้ หาว่าเจ้าป่าเจ้าเขามาสำแดงเดชให้เห็นโดยแฝงมาในรูปของสัตว์ตัวน่าเกลียดเปื้อนเลือดแดงกล่ำนี้แหละ ชาวบ้านที่ได้ยินเข้าก็โจษจันกันใหญ่ว่าเป็นอาถรรพ์ แล้วยึดถือเป็นความเชื่อเป็นกฏเกณฑ์กันต่อมาว่าเวลาเข้าป่าห้ามก้มกินน้ำในลำห้วย ต้องใช้อะไรตักขึ้นมากิน การก้มกินน้ำในลำห้วยถือว่ามักง่ายไม่เคารพเจ้าป่าเจ้าเขา จะถูกเจ้าป่าเจ้าเขาลงโทษ”
“ อื๋ย..น่ากลัวจังเลยนะค๊ะ” ดาทำท่าขนพองสยองเกล้าประกอบคำพูดของเธอหลังจากที่เคลิ้มตามคำเล่าของปรีชาเหมือนเด็กฟังนิทาน ผิดกับหนุ่ยซึ่งฟังด้วยสติที่ดีกว่า
“ แล้วที่ว่าไม่ให้เอาหม้อไปตักน้ำในลำห้วยละครับ”
“ นี่ก็เหมือนกัน คนเมื่อก่อนเวลาเข้าป่าทีก็จะไปกันนานๆ เป็นแรมเดือนอย่างที่ว่านั่นแหละ การไปนานๆ อย่างนี้ก็ต้องเตรียมเสบียงอาหารเตรียมอุปกรณ์ในการหุงหาอาหารไปด้วย ทีนี้เมื่อก่อนไม่มีหม้ออลูมิเนียมหรือหม้อเหล็กอย่างทุกวันนี้ หม้อที่ใช้ก็เป็นหม้อดินเผาธรรมดาสีแดงๆ เหมือนกระถางปลูกดอกไม้พวกนี้แหละ หม้อใบเดียวใช้สารพัดทั้งหุงข้าวทั้งต้มทั้งแกง ทำกินกันทั้งกลุ่มสุดแล้วแต่ว่าจะไปกันกี่คน เวลาเดินป่านะหิวเมื่อไหร่จึงจะทำกินกันเมื่อนั้น กินกันให้หมดแล้วก็ล้างหม้อล้างไหเก็บไม่ต้องเป็นภาระกับอาหารที่เหลือ ทีนี้เวลาเอาหม้อดินไปตักน้ำในลำห้วยมันก็ไม่มีใครลงไปตักกลางห้วยใช่ไหม ก็จะตักกันริมลำห้วยนั่นแหละ บังเอิญพลาดไง หม้อมันไปกระทบกับหินเข้าหม้อแตก ไอ้พวกที่รอกินอยู่ด้วยความหิว เดินป่านะทั้งหิวทั้งเหนื่อย โมโหหิวนะรู้จักกันไหม มันก็เลยทะเลาะกันว่ากันอย่างโน้นอย่างนี้ ไอ้นั่นก็ว่าหาว่าเพื่อนไม่มีความระมัดระวัง ทำไม่เป็นแล้วยังอวดดีบ้าง ไอ้นี่ก็แก้ตัวว่ากูก็ทำดีที่สุดแล้ว ที่กูทำให้พวกมึงกินนี่ก็ดีเท่าไหร่แล้ว ทีพวกมึงไม่เห็นมีใครทำอะไรเลย โต้เถียงกันทะเลาะกัน หนักเข้าไม่มีใครยอมใครท้าต่อยท้าตีกัน คนเข้าป่าต่างก็มีอาวุธครบมือกันทุกคนทั้งมีดทั้งปืน สุดท้ายก็ยิงกันตายฆ่ากันตายด้วยโมโหหิวขาดสติ เข้าป่าแทนที่จะได้อาหารกลายเป็นต้องแบกศพเพื่อนกลับมา พอชาวบ้านรู้เข้าว่ายิงกันตายฆ่ากันตาย ก็อีกนั่นแหละ ใช้ปัญญาเท่าที่จะมีวิเคราะห์หาเหตุผลจนพบว่าเป็นเพราะมันเอาหม้อไปตักน้ำในลำห้วย ใหม่ๆ ก็มีเหตุผลประกอบดีหรอกว่าเอาหม้อไปตักน้ำแล้วหม้อแตกเลยทะเลาะกัน พอนานไปรายละเอียดก็หายไปเหลือแต่ข้อห้ามคือห้ามเอาหม้อไปตักน้ำในลำห้วยมันจะก่อให้เกิดอาถรรพ์ฆ่ากันตายเพราะเจ้าป่าไม่ชอบ หม้อมันเป็นสัญลักษณ์เครื่องเพศของผู้หญิงมันไม่ดี แล้วก็เชื่อตามกันมาไม่มีใครกล้าทำอีก เมื่อก่อนถ้ามีหม้ออลูมิเนียมหม้อสแตนเลสเหมือนทุกวันนี้ เรื่องนี้ก็คงไม่เกิด จริงไหม”
“ แล้วที่ว่าห้ามพูดเรื่องลามกเรื่องสองแง่สองง่ามละครับ”
“ เรื่องนี้ก็อีกแหละ คนเข้าป่านะก็มีแต่พวกผู้ชายกันทั้งนั้น บางคนมันทะลึ่งชอบพูดแต่เรื่องพวกนี้ พวกปากดีหรือดีแต่ปากนั่นแหละ แล้วมันก็เป็นธรรมดาที่พวกผู้ชายเวลาอยู่ด้วยกันก็มักจะสรรหาเรื่องเพศ เรื่องบนเตียง เรื่องหว่างขามาพูดกัน คนเข้าป่าอย่างที่บอกแล้วว่าเขาไปกันนานหลายวัน ผู้ชายนะออกบ้านห่างเมียไปสองสามวันไข่มันก็โต ความกำหนัดมันก็เกิด การพูดเรื่องพวกนี้มันก็เป็นวิธีการหนึ่งที่จะระบายความรู้สึกอย่างว่าออกมาทางอ้อม เป็นการลดความเครียดไปในตัว แต่ทีนี้คนเรามันไม่เหมือนกัน บางคนก็ยังหนุ่มยังแน่น บางคนก็มีเมียสาว บางคนก็พึ่งแต่งงานใหม่ บางคนก็มักมาก บางคนก็ไม่ไว้ใจเมีย บางคนก็มีปัญหาเกี่ยวกับสมรรถภาพทางเพศของตน บางคนก็มีปืนเล็ก มันสารพัด แล้วเวลาพูดเรื่องนี้มันหยุดกันได้ง่ายๆซะเมื่อไหร่ แล้วพูดกันเบาๆ มันก็ไม่สนุก ยิ่งพูดก็ยิ่งดังยิ่งเวลามีเพื่อนในกลุ่มเป็นเหยื่อมันก็ยิ่งสนุกหัวเราะชอบใจในปมด้อยของเพื่อน ไอ้ที่จะไปล่าสัตว์ก็เลยไม่ได้เพราะเสียงดังสัตว์หนีหายหมด ไอ้เพื่อนที่ถูกล้อมากเข้าก็โมโหอดใจไม่อยู่ก็ทะเลาะกัน ไอ้บางคนที่มีตัณหามากพอเพื่อนจุดประกายก็หงุดหงิดอยากกลับบ้านไปหาหว่างขาเมีย ไอ้ที่ขี้หึงระแวงเมียก็กระวนกระวายใจอยากกลับไปเฝ้าเมียกลัวเมียมีชู้ ต่างคนต่างก็มีความลับเรื่องของลับๆเหล่านี้อยู่ในใจ เรื่องพวกนี้มันมีอยู่ในใจทุกคนถ้าไม่มีใครพูดมันก็ไม่คิด มันก็อยู่ของมันได้ ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินกันไป แต่พอมีการพูดกันให้มันประทุขึ้นมาแล้วมันก็อยากจะระเบิดอยากจะระบาย เดินไปคิดไปใจก็ไม่สงบ ทีนี้ก็หาเหตุละซิ ทุกทีเดินกันไปสองวันสามวันไม่เจอสัตว์ก็ยังมีใจมีมานะหาสัตว์หาอาหารจนกว่าจะเจอด้วยในใจคิดว่ายังไงๆก็ต้องเจอไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้ หากันไปจนเจอหรือจนกว่าเสบียงหมดครบกำหนดกลับ แต่คราวนี้ไม่ใช่มันไม่มีกำลังใจมันอยากจะกลับไปหาเมียอย่างเดียว ไอ้ที่ทนไม่ไหวยั้งใจไม่อยู่ก็หาเหตุละซิ ทีนี้มันก็จะพูดเชิงตำหนิและลงท้ายด้วยการขอความเห็นจากเพื่อนๆ
“ ไอ้ห่าเดินมาสามวันแล้วยังไม่เจออะไรเลย กูว่าเป็นเพราะพวกมึงนั่นแหละพูดเรื่องห่าเหวอะไรกันก็ไม่รู้ พูดอะไรไม่พ้นรู กูว่ามีหวังคราวนี้ไม่ได้อะไรกลับบ้านแน่ๆ ฤกษ์ไม่ดีหวะ กูว่ากลับบ้านกันก่อนเถอะไปตั้งหลักกันใหม่" เพื่อนๆ ส่วนใหญ่ก็มักจะเห็นด้วยต่างคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันในใจว่า เออก็ดีเหมือนกันหลักของกูก็ตั้งแล้ว ไปปักหลักกันก่อนก็ดีแล้วค่อยมาใหม่ แล้วก็ชวนกันกลับบ้านโดยไม่มีใครพูดถึงเป้าที่อยู่ในใจ แม้ว่าทุกคนจะคิดถึงเป้าเมียที่อยู่ที่บ้านก็ตาม พอถึงบ้านไม่ได้อะไรติดมือมาเวลาเมียถามก็โยนความผิดกันใหญ่ว่าเป็นเพราะไอ้นั้นไอ้นี่นะซิพูดเรื่องลามกจกเปรตในป่ากันจนเจ้าป่าเจ้าเขาไม่ชอบเลยไล่พวกสัตว์หายไปหมด หาว่าเป็นการลงโทษของเจ้าป่าเจ้าเขาเข้าโน่น ทั้งๆ ที่เป็นเพราะมันพูดกันเสียงดังจนสัตว์หนีหายกันไปหมด แล้วมันก็อยากจะกลับมาหาศูนย์รวมความบันเทิงของเมียมันซะมากกว่า แต่ไม่มีใครพูดความจริงข้อนี้ ทุกคนอ้างว่าเป็นการลงโทษของเจ้าป่าเจ้าเขาแล้วยึดถือกันต่อมาว่าเวลาเข้าป่าห้ามพูดกันเรื่องลามกกัน มันมีอาถรรณ์ให้ทะเลาะกันบ้าง ให้โชคร้ายไม่ได้ลาภกันบ้าง นี่แหละภูมิปัญญาชาวบ้าน”
ปรีชาหยุดนิดหนึ่งแล้วก็พูดต่อ
“ เรื่องของอาถรรณ์ ความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ เรื่องปาฏิหารหรือแม้แต่เรื่องฤกษ์ยามต่างๆ นี่มันเป็นเพียงกุศโลบายให้คนเราต้องมีความเป็นระเบียบ สงบเสงี่ยมเจียมตน อยู่ในศีลในธรรม รู้จักเตรียมการรู้จักวางแผน ทำอะไรก็ให้เป็นขั้นเป็นตอน เพื่อจะได้ไม่เกิดความสับสนวุ่นวายเวลาทำงานร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาทำงานร่วมกันของคนหมู่มากมันต้องมีความเป็นทีม อย่างเช่นเวลาทำพิธีการมงคลต่างๆ ที่ทุกคนต่างก็ต้องการความสุขความสวัสดิมงคล ทั้งในปัจจุบันและในภายภาคหน้า ถ้าไม่มีหลักความเชื่อเหล่านี้เป็นต้นแบบหรือเป็นแนวทางในการปฏิบัติแล้ว คนหนึ่งก็จะทำอย่างนั้นอีกคนก็จะทำอย่างนี้ สุดท้ายก็ต้องทะเลาะกันตกลงกันไม่ได้ว่าจะทำอย่างไร ทำให้ทุกคนเครียดไปตามๆ กัน การประกอบพิธีมงคลก็จะไม่ราบรื่นไม่มีความสุข ไม่มีสมาธิในการทำงานก่อให้เกิดความผิดพลาดขึ้นมา อันโน้นก็ไม่ดี อันนี้ก็ไม่ได้ อันนั้นก็ขาดอันนี้ก็เกิน แล้วก็มาสรุปกันว่าเป็นเพราะไม่เชื่อคำโบราณ จึงต้องถูกบรรพบุรุษเอย ผีสางนางไม่เอย ลงโทษให้และต่อไปก็จะประสบแต่โชคร้ายเพราะทำผิดวิธี ทำผิดหลัก ผิดตำราผิดครู
เรื่องพวกนี้เวลาเราได้ยินได้ฟังเราก็ต้องเอามาคิดพิจารณาหาเหตุผลที่แท้จริงของมัน ไม่อย่างนั้นเราก็จะเชื่อสุ่มสี่สุ่มห้าใครเขารู้เข้าจะหัวเราะเยาะเอาว่าเรางมงายแล้วอีกอย่างบางทีมันทำให้เราไม่มีความคล่องตัวถ้าจะทำอะไรก็ต้องรอฤกษ์รอยาม ไอ้เรื่องฤกษ์ยามนี้ก็เหมือนกันมันเป็นเพียงกุศโลบายของการเตรียมความพร้อมเท่านั้นเอง ไม่งั้นมันก็ไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอนว่าจะทำอะไรกันเมื่อไหร่อย่างไร เรื่องฤกษ์ยามนี้ต้องให้ใครพูดให้ใครกำหนดหละ ก็คนที่มีบารมี คนที่ชาวบ้านนับถือซื่งเมื่อก่อนนี้ก็ไม่มีใครนอกจากพ่อมดหมอผีหรือไม่ก็พระสงฆ์องค์เจ้าที่ชาวบ้านนับถือ ซึ่งท่านก็ทำถูกแล้วหละที่บอกให้ชาวบ้านไปทำเวลานั้นเวลานี้เป็นการบอกเวลาล่วงหน้าเพื่อให้มีการเตรียมตัวกันแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่ขลุกขลักและมีความเป็นมงคลคือความราบรื่นและสำเร็จนั่นแหละ ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้
เรื่องเกี่ยวกับคนทุกอย่างมันเป็นเรื่องทางด้านจิตวิทยาทั้งนั้น จิตวิทยาการบริหารจัดการ จิตวิทยาการปกครอง จิตวิทยาชุมชน จิตวิทยาการอยู่ร่วมกัน จิตวิทยาการทำงานอย่างมีความสุข จิตวิทยาการทำงานเป็นทีม จิตวิทยาการสื่อสาร ทีนี้เราต้องรู้จักแยกแยะและใช้ให้ถูกต้อง เมื่อก่อนคนเรามีการศึกษาน้อยจึงไม่ค่อยรู้อะไร คนที่พอจะรู้มากกว่าเขาก็คือคนที่บวชที่เรียนเพราะในพระไตรปิฎกสอนไว้ทุกเรื่องเกี่ยวกับโลกเกี่ยวกับมนุษย์ สอนไว้ก่อนที่นักวิชาการหรือนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่นี้จะค้นพบซะอีก พอชาวบ้านไม่รู้ครั้นจะอธิบายให้ฟังก็ไม่เข้าใจเพราะระดับปัญญาและทักษะในการคิดยังไม่ถึง ท่านจึงได้ว่ากฎเกณฑ์ วางเงื่อนไข แกมบังคับเพื่อให้ชาวบ้านยึดถือและปฎิบัติตามโดยเอา ความกลัว ความเชื่อ ความศรัทธา โชคลางและอาถรรณ์มาเป็นตัวกำหนด ทีนี้เราในฐานะคนรุ่นใหม่ที่เรียกตัวเองว่าเป็นคนมีการศึกษา เราต้องใช้หลัก ควย. นั่นก็คือคิด วิเคราะห์และแยกแยะ เพื่อที่เราจะได้อยู่บนโลกนี้ได้อย่างผู้ที่รู้เท่าทัน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อ รู้เท่าเอาไว้กัน รู้ทันเอาไว้แก้ ”
ปรีชาพูดจบก็ยกแก้วไวน์ขึ้นมาดื่มแล้วพูดต่อ
“ แต่ก่อนที่เราจะรู้จักอะไรต่ออะไรนั้นสิ่งที่สำคัญคือเราต้องรู้จักตัวเราเองก่อนรู้จุดเด่นจุดด้อย รู้ที่มาที่ไปของปัญญาและปัญหาของเราเพื่อทีจะสามารถแก้ไขมันให้ลุล่วงไปก่อน พอเราแก้ปัญหาของเราได้เรื่องอื่นๆ มันขนมทั้งนั้น แต่ที่สำคัญคือ ไม่มีอาถรรพ์ใดๆทั้งสิ่น ทุกสิ่งทุกอย่างตั้งอยู่บนหลักเหตุและผลทั้งสิ้น เหตุปัจจะโย ”...(12)
Bet365 Casino no deposit bonus codes 2021 - Viecasino.com
ตอบลบBet365 Casino: New players only. Valid for casino: gioco digitale MGA, WV & ラッキーニッキー others. 18+. bet365 18+. Gamble Responsibly. 24/7 Support. Play Here.