วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554

belive อาถรรพ์ นกแสก นกเค้าแมว ...(11)





ขณะที่ทั้งสามคนยังนั่งคุยกันอยู่นี้อากาศก็เริ่มเย็นลงเรื่อยๆ เสียงน้ำค้างที่เกาะตามใบพญาสัตบันหยดลงมากระทบหลังคาห้องครัวดังเปาะแปะๆ แสงจันทร์จากแม่จันทราสาดส่องลงมาทั่วบริเวณทำให้เห็นลานหญ้าสว่างสลัวๆ เป็นหย่อมๆ ทั้งยังขับให้ดอกแก้วสีขาวนวลงามตาส่งกลิ่นหอมกระจายไปทั่วทั้งบริเวณ

เดอลองกองรสชาดหวานหอมเจือด้วยแอลกอฮอล์ปริมาณต่ำๆกำลังแผ่ซ่านไปในกระแสเลือดของคนทั้งสามจนถึงระดับที่ร่างกายเริ่มจะรับไม่ไหว
“ คุณลุงครับห้องน้ำอยู่ตรงไหนครับ ”
ปรีชาชี้ห้องน้ำที่อยู่ด้านหลังห้องครัวให้หนุ่ยดู
“ ดาไปด้วยค๊ะ ปวดตั้งนานแล้วแต่ดาไม่กล้าไปคนเดียว...ดากลัวผี...” 

พอเสร็จกิจดาเดินเกาะแขนหนุ่ยกลับมาจากห้องน้ำด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน   พอมาถึงโต๊ะขณะที่เธอกำลังขยับเก้าอี้เพื่อที่จะเข้านั้งก็มีนกเค้าแมวตัวใหญ่ส่งเสียงร้องแก๊ก..แก๊ก.. บินผ่านหลังคาโรงครัวไป  ดาตกใจมาก  เธอร้องว้าย!..ทิ้งเก้าอี้หกคะเมนแล้วกระโดดตัวลอยกอดคอหนุ่ยไว้แน่นจนหนุ่ยเสียหลักเซถอยหลังไปสองสามก้าวเกือบล้มทั้งยืน   ปรีชาหัวเราะหึ หึ ทั้งที่ยังคาบไปน์อยู่ 

“ เห็นไหมล่า ดาว่าแล้ว ฮือ..ฮือ..หนุ่ยช่วยดาด้วย ฮือ..ฮือ...” ดาหน้าซีดเผือด   พูดพลางเขย่าคอหนุ่ยพลาง  พอตั้งหลักได้หนุ่ยก็กอดเธอไว้แน่นแล้วใช้มือลูบที่ศรีษะเธอเบาๆ
“ ไม่มีอะไรหรอก แค่นกเอง มันไปแล้ว ”
“ ไม่มีอะไรได้ยังไง  ก็นกนั่นแหละ  ร้องน่ากลัวจะตาย  แล้วมันมาทำไมตอนนี้ก็ไม่รู้   ดายิ่งกลัวๆ อยู่ด้วย   ดูซิมืดก็มืด  อากาศก็เย็น จะไม่ให้ดากลัวได้ยังไงแล้วหนุ่ยไม่กลัวรึไง ”
“ ถ้าหนุ่ยกลัวแล้วใครจะช่วยดาหละ  ดูซิคุณลุงก็ยังอยู่   ไม่เห็นมีใครกลัวเลย ”
หนุ่ยปลอบพร้อมกับชวนให้ดาหันไปดูปรีชาที่นั่งจุดไฟแช็คส่องหน้าตัวเอง แสงจากไฟแช็คขับให้ใบหน้าแก่ๆ ของปรีชาบางส่วนเด่นขึ้นมาตัดกับแสงสลัวๆ ของเทียนทีจุดอยู่กลางโต๊ะ พอดาเห็นหน้าปรีชาเธอก็หันหน้ากลับไปซบที่ไหล่ของหนุ่ยเหมือนเด็กหญิงตัวเล็กๆ ปากก็บ่นอุบอิบพอให้มีเสียงลอดออกมาจากซอกคอของหนุ่ย
“ คุณลุงอีกคนหนึ่ง เล่นอะไรก็ไม่รู้ ฮือ..ฮือ.. ”
“ คาย...เล่น...อา...ราย...ฮือ....ฮือ...ฮือ...” ปรีชาทำเสียงกระเซ้าดา
“ คุณลุงง่า...ดากลัว..แล้วคืนนี้ดาจะนอนยังไงเนี่ย...”
“ มีอะไรเหรอหนูดา   ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลย ” 

หนุ่ยแกะขาดาออกจากเอวให้ดาลงมายืน   แล้วค่อยๆ ปลดมือดาออกจากคอแล้วจูงแขนเธอมานั่งที่เก้าอี้ตามเดิม
“ ก็นกเนี่ยมันร้องน่ากลัวนี่ค๊ะ  แล้วคนโบราณเขาก็ว่าเวลามันร้องที่บ้านใครบ้านนั้นต้องมีคนตายหรืออะไรอย่างนั้นแหละ ”
“ แต่มันก็มาและร้องอย่างนี้บ่อยๆ ลุงก็ไม่เห็นมีใครเป็นอะไรนี่ ”
“ คุณยายของดาเล่าให้ฟังนี่คะว่าที่บ้านนอกตอนคุณยายเป็นเด็กๆ นะ เวลานกนี้มาร้องตอนกลางคืนมันต้องมีคนตายนะ ”
“ แล้วตอนนี้คุณยายของหนูอายุเท่าไหร่ ”
“ เจ็ดสิบกว่าเกือบแปดสิบแล้วคะ ”
“ ถ้าคุณยายอายุเกือบแปดสิบแล้ว  มันก็จริงของคุณยายหนูนะ   เอางี้ไม้ลุงจะเล่าอะไรให้ฟังเอาไม้ ” ปรีชาต้องเปลี่ยนเรื่องมาพูดเรื่องใหม่เพื่อให้แขกของเขาเกิดความสบายใจก่อน
“ เรื่องผีหรือคะ  หนูไม่เอาหนูไม่อยากฟัง   หนูกลัวผี ”
“ เปล่า..ไม่ใช่เรื่องผีเรื่องสางอะไรทั้งนั้น   ก็เรื่องนกนี้แหละ
เมื่อก่อนนะบ้านเมืองยังไม่เจริญ   อย่างบ้านนอกหรือต่างจังหวัดที่คุณยายของหนูอยู่ตอนเป็นเด็กๆ เนี่ยไฟฟ้ายังไปไม่ถึง  สภาพแวดล้อมก็เป็นป่าเป็นดอยเป็นท้องไร่ท้องนา   กิจกรรมตอนกลางคืนก็ไม่มีอะไร ร้านอาหารก็ไม่มี  คาราโอเกะก็ไม่มี  พอค่ำลงทุกคนก็อยู่บ้านใครบ้านมัน  จุดตะเกียงน้ำมันก๊าดควันโขมงเพดานบ้านเอยมุ้งเอยดำไปหมด บ้านไหนมีฐานะดีหน่อยก็จะใช้ตะเกียงเจ้าพายุ  จุดทีสว่างทั้งบ้าน  ลูกเด็กเล็กแดงกินข้าวเย็นเสร็จก็จะมานั่งล้อมตะเกียงฟังผู้ใหญ่เขาคุยกันบ้างเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ฟังบ้าง  ทุ่มสองทุ่มเขาก็ดับตะเกียงเข้านอนเพราะพรุ่งนี้ต้องออกไปทำงานในไร่ในนากันต่อ  มองไปทางไหนก็มืดไปหมดนอกจากช่วงเทศกาลที่มีงานวัดงานบุญหรือเวลาที่กำนัน ผู้ใหญ่บ้านเขาเรียกประชุมคนถึงจะจุดไต้จุดคบออกนอกบ้านกันทีไม่งั้นทั้งหมู่บ้านก็จะอยู่ในความมืด   ไฟส่องถนนหนทางก็ไม่มี   แต่ก็จะมีบางบ้านที่จุดตะเกียงอยู่กันทั้งคืน ”
“ ทำไมหรือครับ ”
“ บ้านไหนจุดตะเกียงอยู่กันทั้งคืนแสดงว่าบ้านนั้นมีคนป่วย  ญาติพี่น้องต้องเฝ้าไข้ผลัดกันลุกขึ้นมาดูแลทั้งคืน    เยียวยากันตามประสาคนบ้านนอกข้าวเสก  ข้าวสาร   ยาต้มยาตำ   สุดแต่ว่าจะหาอะไรได้โชคดีก็รอดโชคร้ายก็ตาย   ส่วนใหญ่จะตายกันหมด
  
ทีนี้อย่างที่ลุงบอกนั่นแหละ   สภาพแวดล้อมมันเป็นป่าเป็นดอย ต้นไม้เยอะบ้านก็อยู่ห่างกันมองหากันก็ไม่เห็น   แต่พวกนกแสก  นกเค้าแมวมันเป็นนกที่ออกหากินเวลากลางคืนมันมองเห็นในความมืดได้มันก็ออกหาจับหนูจับสัตว์ตัวเล็กๆ กินเป็นอาหาร ธรรมชาติของนกพวกนี้เวลามันบินอยู่สูงมันก็เห็นแสงไฟ  มันนึกว่าไฟไหม้ป่า  มันก็บินมาที่ๆ มีไฟสว่างเพื่อจะหาอาหาร   มันรู้โดยสัญชาติญาณว่าเวลาไฟไหม้ป่าจะมีสัตว์ตัวเล็กๆ วิ่งหนีไฟอย่างพวกหนู  พวกตุ่น  กระต่าย กบเขียด   แล้วเวลามันบินมามันก็จะส่งเสียงร้องเป็นการประกาศศักดิ์ดาว่าข้ามาแล้วโว้ย   ข้าเห็นไฟก่อน   พวกเอ็งอย่าเข้ามากันนะไม่งั้นเป็นเรื่อง  เวลามันร้องนะได้ยินกันไปสามบ้านสี่บ้านเพราะกลางคืนมันเงียบ  ชาวบ้านที่อยู่ระแวกนั้นก็จะได้ยินเสียงมันร้อง  พอตื่นเช้าเขาก็เล่าลือกันว่าคนบ้านโน้นตาย  อันที่จริงมันตายเพราะรักษาไม่ถูกกับโรค  ยาไม่ดีมันจึงตาย  แต่ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ประกอบกับการที่ได้ยินเสียงนกร้องเมื่อคืน ชาวบ้านก็เอาเสียงนกร้องกับความตายมาสัมพันธ์กัน   ทีนี้พอเป็นอย่างนี้หลายๆ ครั้งคนก็เริ่มเชื่อว่าเวลาทีนกพวกนี้ร้องจะต้องมีคนตายในหมู่บ้าน   แล้วความเชื่ออย่างนี้มันก็เล่าสืบกันมาสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน   แล้วลูกหลานก็เชื่อโดยที่ไม่ได้พินิจพิเคราะห์หาเหตุผลที่แท้จริง ทั้งๆ ที่มันมีเหตุของมันอยู่ ”
“ อย่างนี้ก็หมายความว่าที่มันมาก็เพราะมันเห็นเราเปิดไฟอยู่นะซิค๊ะ”
“ ก็อย่างนั้นแหละ  มันไม่มีอะไรหรอก   แล้วลุงก็ต้องอธิบายอย่างนี้ทุกครั้งเวลาคนพักที่นี่รู้สึกกลัวอย่างหนูนะ”
“ ทีแรกผมก็นึกกลัวๆ เหมือนกันนะครับ   แต่พอฟังคุณลุงอธิบายแล้วผมว่าก็สมเหตุสมผลดี   ไม่มีอะไรน่ากลัว ”
“ ฮั่นแน่....เห็นไหมล่า ทีแรกหนุ่ยก็กลัวเหมือนกันแหละ   แหมทำฟอร์มเนียนเชียวนะ”
“ แล้วทีนี้หายกลัวกันหรือยังละ”
“ ค๊ะ แต่ก็....”
“ ยังมีนิดๆ ใช่ไหม  เอ้ามาดื่มเรียกขวัญกันหน่อย ” ปรีชายื่นแก้วออกไปชวนทุกคนดื่มเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติหลังจากที่สังเกตุเห็นว่าวิภาดายังไม่วางใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้ว่าปรีชาได้อธิบายถึงเหตุผลต่างๆ ให้ฟังแล้วก็ตาม  เขาจึงยกตัวอย่างเกี่ยวกับความเชื่อทำนองนี้ให้ฟังอีก

“ มันยังมีเรื่องราวต่างๆ อีกเยอะแยะมากมายที่เป็นความเชื่อของคนสมัยก่อนที่ได้รับการเล่าขานสืบต่อกันมาและหลายคนก็เชื่อตามนั้นโดยที่ไม่ได้คิดหาเหตุและผลที่แท้จริงของมัน   เราคงจะเคยได้ยินกันว่าเวลาเข้าป่าห้ามก้มกินน้ำในลำห้วยหรือห้ามเอาหม้อไปตักน้ำในลำห้วยหรือเวลาเข้าป่าห้ามพูดเรื่องที่ไม่ดีเรื่องลามกหรืออะไรต่ออะไรเพราะจะทำให้เกิดเหตุร้ายอย่างนี้ใช่ไหม”
“ ใช่ครับ   ผมเคยได้ยินอะไรทำนองนี้แหละว่าห้ามโน่นห้ามนี่เพราะจะทำให้เกิดเหตุร้ายแต่เรื่องที่ลุงว่ามานี้ผมยังไม่เคยได้ยิน   มันเป็นอย่างไรหรือครับ ”
“ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามนะ  มันก็มีเหตุผลของมันทั้งนั้นแหละแล้วแต่ใครจะคิดได้  ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยคิดถึงกัน    คนเรามักจะเชื่อตามเขาว่าตามพ่อแม่ว่าตามบรรพบุรุษว่า  เพราะเวลาเด็กถามผู้ใหญ่ก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมเขาให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้และมักจะพูดตัดรำคาญว่า  ทำๆ ตามที่บอกก็แล้วกันไม่ต้องถามว่าทำไม  จริงๆ มันก็เป็นเรื่องดีเพราะทำให้ง่ายต่อการอยู่ร่วมกัน  ง่ายต่อการปกครองและง่ายต่อการทำงานร่วมกัน

อย่างที่ว่าเวลาเข้าป่าห้ามก้มกินน้ำในลำห้วยผีป่าจะลงโทษ  ผีป่าจะมาบีบคอ  แล้วจะต้องตาย  เรื่องของเรื่องมันก็คือ ในป่าสมัยก่อนนะไม่ว่าที่ไหนมันก็เป็นป่าดงดิบทั้งนั้น    มันมีความชื้นอยู่ตลอดปีพวกทากเนี่ยมีอยู่เยอะ   รู้จักทากกันไหม  ทากมันก็เหมือนปลิงที่อยู่ตามลำน้ำคอยดูดเลือดสัตว์เลือดคนที่ลงไปในน้ำ   แต่ทากนี้มันอยู่บนบก ตัวคล้ายกันเลย   ดูดเลือดเป็นอาหารเหมือนกัน   ปลิงกระโดดไม่ได้แต่ทากมันกระโดดได้   พอคนเข้าป่าเดินทางอยู่ในป่าเหนื่อยๆเห็นน้ำในลำห้วยใสไหลเย็นก็ลงไปหมอบกินก้มกิน   พวกทากที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น   ตัวเล็กๆ นะลูกมันอาจจะตัวประมาณเส้นผมไม่สังเกตก็มองไม่เห็น  คนมันเหนื่อยนะ   อยู่ในป่าเนื้อตัวมอมแมม   เศษไม้ใบไม้เล็กๆ ติดตามผมตามหน้าตามตัวมันเป็นเรื่องปกติ  ก็เอามือปัดๆสางๆ มันไปไม่ได้สนใจว่ามันจะเป็นอะไร   บางทีติดอยู่ตั้งนานก็ไม่รู้ตัว   เพราะมัวแต่ดูนั่นดูนี่หาเห็ดหาอาหาร   ทีนี้เวลาก้มลงกินน้ำพวกทากเล็กๆ มันก็กระโดดเกาะถ้าติดตามหน้าก็ยังพอมองเห็นหรือลูบคลำเจอเวลาล้างหน้า  แต่บางตัวมันกระโดดเข้าไปในจมูกในหู   เราก็ไม่รู้ตัว   มันคลานเข้าไปฝังตัวอยู่ข้างในใช้ปากดูดกินเลือดเรา  คนเดินป่าเมื่อก่อนบางทีก็ไปเป็นแรมเดือนกว่าจะกลับออกมา   บางคนก็ไม่ได้กลับตายอยู่กลางป่า  บางคนออกมาได้ทันแต่ก็มาตายที่บ้าน เพราะอะไร  ก็เพราะทากที่มันเข้าไปอยู่ข้างในมันกินเลือดเราโตวันโตคืนจนใหญ่คับโพรงจมูกแถมยังมีพวกเชื้อโรคต่างๆ อีก    เจ้าตัวมันก็ไม่สบายเป็นไข้หายใจไม่ออก  คนเราเวลาหายใจไม่ออกก็พยายามที่จะทุบอกทุบหลัง   กระทั่งบีบคอพยายามเค้นเอาไอ้สิ่งที่อยู่ข้างในออกมาเพื่อให้หายใจได้   คนอื่นไม่รู้ว่ามันคืออะไรแม้แต่เจ้าตัวมันเองก็ไม่รู้ มันก็พยายามบีบคอตัวเองจนเขียวช้ำไปหมด   สุดท้ายพอทากที่อยู่ข้างในมันกินเลือดจนตัวพองคับหลอดลมไอ้คนนั้นหายใจไม่ออกมันก็ตาย   คนเห็นก็นึกว่าผีป่าผีเขามาบีบคอมันตาย  พวกที่เข้าป่าด้วยกันก็พยายามหาสาเหตุของการตายด้วยปัญญาเท่าที่จะมีว่าเป็นเพราะอะไร   คนนั้นก็ว่าอย่างนั้นคนนี้ก็ว่าอย่างนี้สุดท้ายก็ลงเอยกันว่าเป็นเพราะมันก้มกินน้ำในลำห้วย  มันไม่เคารพเจ้าป่าเจ้าเขา  พอเจ้าหมอนั่นตายทากที่อยู่ข้างในไม่มีเลือดให้ดูดมันก็ออกมาข้างนอก ญาติหรือสับปะเหร่อเห็นเข้าก็เลยไปกันใหญ่เลยทีนี้   หาว่าเจ้าป่าเจ้าเขามาสำแดงเดชให้เห็นโดยแฝงมาในรูปของสัตว์ตัวน่าเกลียดเปื้อนเลือดแดงกล่ำนี้แหละ  ชาวบ้านที่ได้ยินเข้าก็โจษจันกันใหญ่ว่าเป็นอาถรรพ์   แล้วยึดถือเป็นความเชื่อเป็นกฏเกณฑ์กันต่อมาว่าเวลาเข้าป่าห้ามก้มกินน้ำในลำห้วย  ต้องใช้อะไรตักขึ้นมากิน  การก้มกินน้ำในลำห้วยถือว่ามักง่ายไม่เคารพเจ้าป่าเจ้าเขา  จะถูกเจ้าป่าเจ้าเขาลงโทษ”
“ อื๋ย..น่ากลัวจังเลยนะค๊ะ” ดาทำท่าขนพองสยองเกล้าประกอบคำพูดของเธอหลังจากที่เคลิ้มตามคำเล่าของปรีชาเหมือนเด็กฟังนิทาน   ผิดกับหนุ่ยซึ่งฟังด้วยสติที่ดีกว่า

“ แล้วที่ว่าไม่ให้เอาหม้อไปตักน้ำในลำห้วยละครับ”
“ นี่ก็เหมือนกัน  คนเมื่อก่อนเวลาเข้าป่าทีก็จะไปกันนานๆ เป็นแรมเดือนอย่างที่ว่านั่นแหละ  การไปนานๆ อย่างนี้ก็ต้องเตรียมเสบียงอาหารเตรียมอุปกรณ์ในการหุงหาอาหารไปด้วย  ทีนี้เมื่อก่อนไม่มีหม้ออลูมิเนียมหรือหม้อเหล็กอย่างทุกวันนี้  หม้อที่ใช้ก็เป็นหม้อดินเผาธรรมดาสีแดงๆ เหมือนกระถางปลูกดอกไม้พวกนี้แหละ หม้อใบเดียวใช้สารพัดทั้งหุงข้าวทั้งต้มทั้งแกง   ทำกินกันทั้งกลุ่มสุดแล้วแต่ว่าจะไปกันกี่คน   เวลาเดินป่านะหิวเมื่อไหร่จึงจะทำกินกันเมื่อนั้น  กินกันให้หมดแล้วก็ล้างหม้อล้างไหเก็บไม่ต้องเป็นภาระกับอาหารที่เหลือ  ทีนี้เวลาเอาหม้อดินไปตักน้ำในลำห้วยมันก็ไม่มีใครลงไปตักกลางห้วยใช่ไหม   ก็จะตักกันริมลำห้วยนั่นแหละ   บังเอิญพลาดไง  หม้อมันไปกระทบกับหินเข้าหม้อแตก   ไอ้พวกที่รอกินอยู่ด้วยความหิว เดินป่านะทั้งหิวทั้งเหนื่อย   โมโหหิวนะรู้จักกันไหม มันก็เลยทะเลาะกันว่ากันอย่างโน้นอย่างนี้  ไอ้นั่นก็ว่าหาว่าเพื่อนไม่มีความระมัดระวัง ทำไม่เป็นแล้วยังอวดดีบ้าง  ไอ้นี่ก็แก้ตัวว่ากูก็ทำดีที่สุดแล้ว  ที่กูทำให้พวกมึงกินนี่ก็ดีเท่าไหร่แล้ว   ทีพวกมึงไม่เห็นมีใครทำอะไรเลย   โต้เถียงกันทะเลาะกัน  หนักเข้าไม่มีใครยอมใครท้าต่อยท้าตีกัน  คนเข้าป่าต่างก็มีอาวุธครบมือกันทุกคนทั้งมีดทั้งปืน   สุดท้ายก็ยิงกันตายฆ่ากันตายด้วยโมโหหิวขาดสติ  เข้าป่าแทนที่จะได้อาหารกลายเป็นต้องแบกศพเพื่อนกลับมา   พอชาวบ้านรู้เข้าว่ายิงกันตายฆ่ากันตาย  ก็อีกนั่นแหละ  ใช้ปัญญาเท่าที่จะมีวิเคราะห์หาเหตุผลจนพบว่าเป็นเพราะมันเอาหม้อไปตักน้ำในลำห้วย   ใหม่ๆ ก็มีเหตุผลประกอบดีหรอกว่าเอาหม้อไปตักน้ำแล้วหม้อแตกเลยทะเลาะกัน  พอนานไปรายละเอียดก็หายไปเหลือแต่ข้อห้ามคือห้ามเอาหม้อไปตักน้ำในลำห้วยมันจะก่อให้เกิดอาถรรพ์ฆ่ากันตายเพราะเจ้าป่าไม่ชอบ   หม้อมันเป็นสัญลักษณ์เครื่องเพศของผู้หญิงมันไม่ดี   แล้วก็เชื่อตามกันมาไม่มีใครกล้าทำอีก  เมื่อก่อนถ้ามีหม้ออลูมิเนียมหม้อสแตนเลสเหมือนทุกวันนี้   เรื่องนี้ก็คงไม่เกิด  จริงไหม” 

“ แล้วที่ว่าห้ามพูดเรื่องลามกเรื่องสองแง่สองง่ามละครับ”
“ เรื่องนี้ก็อีกแหละ   คนเข้าป่านะก็มีแต่พวกผู้ชายกันทั้งนั้น   บางคนมันทะลึ่งชอบพูดแต่เรื่องพวกนี้  พวกปากดีหรือดีแต่ปากนั่นแหละ แล้วมันก็เป็นธรรมดาที่พวกผู้ชายเวลาอยู่ด้วยกันก็มักจะสรรหาเรื่องเพศ  เรื่องบนเตียง  เรื่องหว่างขามาพูดกัน   คนเข้าป่าอย่างที่บอกแล้วว่าเขาไปกันนานหลายวัน  ผู้ชายนะออกบ้านห่างเมียไปสองสามวันไข่มันก็โต  ความกำหนัดมันก็เกิด  การพูดเรื่องพวกนี้มันก็เป็นวิธีการหนึ่งที่จะระบายความรู้สึกอย่างว่าออกมาทางอ้อม  เป็นการลดความเครียดไปในตัว  แต่ทีนี้คนเรามันไม่เหมือนกัน  บางคนก็ยังหนุ่มยังแน่น  บางคนก็มีเมียสาว  บางคนก็พึ่งแต่งงานใหม่  บางคนก็มักมาก   บางคนก็ไม่ไว้ใจเมีย   บางคนก็มีปัญหาเกี่ยวกับสมรรถภาพทางเพศของตน  บางคนก็มีปืนเล็ก  มันสารพัด  แล้วเวลาพูดเรื่องนี้มันหยุดกันได้ง่ายๆซะเมื่อไหร่   แล้วพูดกันเบาๆ มันก็ไม่สนุก ยิ่งพูดก็ยิ่งดังยิ่งเวลามีเพื่อนในกลุ่มเป็นเหยื่อมันก็ยิ่งสนุกหัวเราะชอบใจในปมด้อยของเพื่อน  ไอ้ที่จะไปล่าสัตว์ก็เลยไม่ได้เพราะเสียงดังสัตว์หนีหายหมด   ไอ้เพื่อนที่ถูกล้อมากเข้าก็โมโหอดใจไม่อยู่ก็ทะเลาะกัน ไอ้บางคนที่มีตัณหามากพอเพื่อนจุดประกายก็หงุดหงิดอยากกลับบ้านไปหาหว่างขาเมีย  ไอ้ที่ขี้หึงระแวงเมียก็กระวนกระวายใจอยากกลับไปเฝ้าเมียกลัวเมียมีชู้   ต่างคนต่างก็มีความลับเรื่องของลับๆเหล่านี้อยู่ในใจ  เรื่องพวกนี้มันมีอยู่ในใจทุกคนถ้าไม่มีใครพูดมันก็ไม่คิด  มันก็อยู่ของมันได้   ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินกันไป  แต่พอมีการพูดกันให้มันประทุขึ้นมาแล้วมันก็อยากจะระเบิดอยากจะระบาย  เดินไปคิดไปใจก็ไม่สงบ  ทีนี้ก็หาเหตุละซิ   ทุกทีเดินกันไปสองวันสามวันไม่เจอสัตว์ก็ยังมีใจมีมานะหาสัตว์หาอาหารจนกว่าจะเจอด้วยในใจคิดว่ายังไงๆก็ต้องเจอไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้   หากันไปจนเจอหรือจนกว่าเสบียงหมดครบกำหนดกลับ  แต่คราวนี้ไม่ใช่มันไม่มีกำลังใจมันอยากจะกลับไปหาเมียอย่างเดียว   ไอ้ที่ทนไม่ไหวยั้งใจไม่อยู่ก็หาเหตุละซิ   ทีนี้มันก็จะพูดเชิงตำหนิและลงท้ายด้วยการขอความเห็นจากเพื่อนๆ 
“ ไอ้ห่าเดินมาสามวันแล้วยังไม่เจออะไรเลย    กูว่าเป็นเพราะพวกมึงนั่นแหละพูดเรื่องห่าเหวอะไรกันก็ไม่รู้   พูดอะไรไม่พ้นรู กูว่ามีหวังคราวนี้ไม่ได้อะไรกลับบ้านแน่ๆ ฤกษ์ไม่ดีหวะ  กูว่ากลับบ้านกันก่อนเถอะไปตั้งหลักกันใหม่"  เพื่อนๆ ส่วนใหญ่ก็มักจะเห็นด้วยต่างคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันในใจว่า   เออก็ดีเหมือนกันหลักของกูก็ตั้งแล้ว ไปปักหลักกันก่อนก็ดีแล้วค่อยมาใหม่  แล้วก็ชวนกันกลับบ้านโดยไม่มีใครพูดถึงเป้าที่อยู่ในใจ   แม้ว่าทุกคนจะคิดถึงเป้าเมียที่อยู่ที่บ้านก็ตาม  พอถึงบ้านไม่ได้อะไรติดมือมาเวลาเมียถามก็โยนความผิดกันใหญ่ว่าเป็นเพราะไอ้นั้นไอ้นี่นะซิพูดเรื่องลามกจกเปรตในป่ากันจนเจ้าป่าเจ้าเขาไม่ชอบเลยไล่พวกสัตว์หายไปหมด  หาว่าเป็นการลงโทษของเจ้าป่าเจ้าเขาเข้าโน่น   ทั้งๆ ที่เป็นเพราะมันพูดกันเสียงดังจนสัตว์หนีหายกันไปหมด   แล้วมันก็อยากจะกลับมาหาศูนย์รวมความบันเทิงของเมียมันซะมากกว่า  แต่ไม่มีใครพูดความจริงข้อนี้  ทุกคนอ้างว่าเป็นการลงโทษของเจ้าป่าเจ้าเขาแล้วยึดถือกันต่อมาว่าเวลาเข้าป่าห้ามพูดกันเรื่องลามกกัน   มันมีอาถรรณ์ให้ทะเลาะกันบ้าง   ให้โชคร้ายไม่ได้ลาภกันบ้าง  นี่แหละภูมิปัญญาชาวบ้าน” 
ปรีชาหยุดนิดหนึ่งแล้วก็พูดต่อ
“ เรื่องของอาถรรณ์  ความขลัง  ความศักดิ์สิทธิ์  เรื่องปาฏิหารหรือแม้แต่เรื่องฤกษ์ยามต่างๆ นี่มันเป็นเพียงกุศโลบายให้คนเราต้องมีความเป็นระเบียบ  สงบเสงี่ยมเจียมตน  อยู่ในศีลในธรรม  รู้จักเตรียมการรู้จักวางแผน  ทำอะไรก็ให้เป็นขั้นเป็นตอน   เพื่อจะได้ไม่เกิดความสับสนวุ่นวายเวลาทำงานร่วมกัน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาทำงานร่วมกันของคนหมู่มากมันต้องมีความเป็นทีม  อย่างเช่นเวลาทำพิธีการมงคลต่างๆ ที่ทุกคนต่างก็ต้องการความสุขความสวัสดิมงคล ทั้งในปัจจุบันและในภายภาคหน้า   ถ้าไม่มีหลักความเชื่อเหล่านี้เป็นต้นแบบหรือเป็นแนวทางในการปฏิบัติแล้ว   คนหนึ่งก็จะทำอย่างนั้นอีกคนก็จะทำอย่างนี้  สุดท้ายก็ต้องทะเลาะกันตกลงกันไม่ได้ว่าจะทำอย่างไร  ทำให้ทุกคนเครียดไปตามๆ กัน  การประกอบพิธีมงคลก็จะไม่ราบรื่นไม่มีความสุข  ไม่มีสมาธิในการทำงานก่อให้เกิดความผิดพลาดขึ้นมา   อันโน้นก็ไม่ดี  อันนี้ก็ไม่ได้  อันนั้นก็ขาดอันนี้ก็เกิน แล้วก็มาสรุปกันว่าเป็นเพราะไม่เชื่อคำโบราณ   จึงต้องถูกบรรพบุรุษเอย  ผีสางนางไม่เอย  ลงโทษให้และต่อไปก็จะประสบแต่โชคร้ายเพราะทำผิดวิธี   ทำผิดหลัก  ผิดตำราผิดครู

เรื่องพวกนี้เวลาเราได้ยินได้ฟังเราก็ต้องเอามาคิดพิจารณาหาเหตุผลที่แท้จริงของมัน   ไม่อย่างนั้นเราก็จะเชื่อสุ่มสี่สุ่มห้าใครเขารู้เข้าจะหัวเราะเยาะเอาว่าเรางมงายแล้วอีกอย่างบางทีมันทำให้เราไม่มีความคล่องตัวถ้าจะทำอะไรก็ต้องรอฤกษ์รอยาม  ไอ้เรื่องฤกษ์ยามนี้ก็เหมือนกันมันเป็นเพียงกุศโลบายของการเตรียมความพร้อมเท่านั้นเอง ไม่งั้นมันก็ไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอนว่าจะทำอะไรกันเมื่อไหร่อย่างไร เรื่องฤกษ์ยามนี้ต้องให้ใครพูดให้ใครกำหนดหละ   ก็คนที่มีบารมี  คนที่ชาวบ้านนับถือซื่งเมื่อก่อนนี้ก็ไม่มีใครนอกจากพ่อมดหมอผีหรือไม่ก็พระสงฆ์องค์เจ้าที่ชาวบ้านนับถือ  ซึ่งท่านก็ทำถูกแล้วหละที่บอกให้ชาวบ้านไปทำเวลานั้นเวลานี้เป็นการบอกเวลาล่วงหน้าเพื่อให้มีการเตรียมตัวกันแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่ขลุกขลักและมีความเป็นมงคลคือความราบรื่นและสำเร็จนั่นแหละ   ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ 

เรื่องเกี่ยวกับคนทุกอย่างมันเป็นเรื่องทางด้านจิตวิทยาทั้งนั้น จิตวิทยาการบริหารจัดการ  จิตวิทยาการปกครอง  จิตวิทยาชุมชน จิตวิทยาการอยู่ร่วมกัน  จิตวิทยาการทำงานอย่างมีความสุข  จิตวิทยาการทำงานเป็นทีม  จิตวิทยาการสื่อสาร  ทีนี้เราต้องรู้จักแยกแยะและใช้ให้ถูกต้อง   เมื่อก่อนคนเรามีการศึกษาน้อยจึงไม่ค่อยรู้อะไร   คนที่พอจะรู้มากกว่าเขาก็คือคนที่บวชที่เรียนเพราะในพระไตรปิฎกสอนไว้ทุกเรื่องเกี่ยวกับโลกเกี่ยวกับมนุษย์  สอนไว้ก่อนที่นักวิชาการหรือนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่นี้จะค้นพบซะอีก  พอชาวบ้านไม่รู้ครั้นจะอธิบายให้ฟังก็ไม่เข้าใจเพราะระดับปัญญาและทักษะในการคิดยังไม่ถึง   ท่านจึงได้ว่ากฎเกณฑ์  วางเงื่อนไข  แกมบังคับเพื่อให้ชาวบ้านยึดถือและปฎิบัติตามโดยเอา  ความกลัว  ความเชื่อ  ความศรัทธา  โชคลางและอาถรรณ์มาเป็นตัวกำหนด  ทีนี้เราในฐานะคนรุ่นใหม่ที่เรียกตัวเองว่าเป็นคนมีการศึกษา  เราต้องใช้หลัก ควย. นั่นก็คือคิด  วิเคราะห์และแยกแยะ  เพื่อที่เราจะได้อยู่บนโลกนี้ได้อย่างผู้ที่รู้เท่าทัน   ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อ  รู้เท่าเอาไว้กัน รู้ทันเอาไว้แก้ ” 

ปรีชาพูดจบก็ยกแก้วไวน์ขึ้นมาดื่มแล้วพูดต่อ 

“ แต่ก่อนที่เราจะรู้จักอะไรต่ออะไรนั้นสิ่งที่สำคัญคือเราต้องรู้จักตัวเราเองก่อนรู้จุดเด่นจุดด้อย   รู้ที่มาที่ไปของปัญญาและปัญหาของเราเพื่อทีจะสามารถแก้ไขมันให้ลุล่วงไปก่อน   พอเราแก้ปัญหาของเราได้เรื่องอื่นๆ มันขนมทั้งนั้น  แต่ที่สำคัญคือ ไม่มีอาถรรพ์ใดๆทั้งสิ่น  ทุกสิ่งทุกอย่างตั้งอยู่บนหลักเหตุและผลทั้งสิ้น  เหตุปัจจะโย ”...(12)

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ25 มกราคม 2565 เวลา 08:48

    Bet365 Casino no deposit bonus codes 2021 - Viecasino.com
    Bet365 Casino: New players only. Valid for casino: gioco digitale MGA, WV & ラッキーニッキー others. 18+. bet365 18+. Gamble Responsibly. 24/7 Support. Play Here.

    ตอบลบ