วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Freud Theory ทฤษฎีบุคลิกภาพ ซิกมุนด์ ฟรอยด์...(9)



“ เอ้า..เอ้า..เอ้า...ซิกมุนด์ ฟรอยด์ มหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของศตวรรษที่ผ่านมาประมาณร้อยห้าสิบกว่าหกสิบปี เกิด ค.ศ. 1856 ถ้าเป็นทางบ้านเราก็ตรงกับช่วงต้นๆ  รัชสมัยของรัชกาลที่สี่   ฟรอยด์เป็นคนยิว เกิดที่สาธารณรัฐเช็ค   ตอนหลังก็ย้ายไปอยู่เวียนนา  ลุงเคยไปเยี่ยมบ้านของเขามาครั้งหนึ่งตอนนี้ถูกทำเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงผลงานของเขาเอง   ฟรอยด์เริ่มด้วยการเป็นแพทย์ทางด้านประสาทวิทยา ตอนที่เรียนอยู่เขาก็สนใจศึกษาทางด้านอาการของโรคประสาท  จนไปเรียนวิธีรักษาอาการทางประสาทกับชาร์โกต์อาจารย์ชาวฝรั่งเศสที่ปารีส ได้ความรู้เรื่องอาการฮีสทีเรียและการสะกดจิต    กลับมาลองผิดลองถูกอยู่นาน   

ต่อมาก็ได้ข่าวว่าเพื่อนรุ่นพี่ของเขา โจเซฟ บรอยเออร์ ก็สนใจเรื่องนี้เหมือนกันและได้รักษาผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ อานา โอ เธออาการทางประสาทแบบฮีสธีเรีย  ไปศึกษาและร่วมทำงานอยู่กับเขาตอนหลังมาแต่ก็ต้องแยกทางกันเพราะความเห็นไม่ตรงกัน  จนมาพบวิธีการเป็นของตนเองที่เรียกกันว่า จิตวิเคราะห์   ฟรอยด์เป็นคนอาพับ ไม่ได้อยู่ที่บ้านเกิดและก็ไม่ได้ตายที่บ้านเกิด   ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ฮิตเลอล์ทำการกวาดล้างชนชาติยิว   ซึ่งฟรอยด์ก็เป็นหนึ่งในนั้น ก็จำเป็นต้องหนีลี้ภัยไปอยู่ลอนดอนและก็อยู่ที่นั่นจนตาย ลุงก็ไปเยี่ยมมาแล้วอีกเหมือนกันยังไปถ่ายรูปกับเก้าอี้นอน เคานช์ ที่เขาให้คนไข้ที่มารักษากับเขานอนทำฟรีแอสโซซิเอส

สิ่งที่ทำให้ฟรอยด์มีชื่อเสียงนั้นนอกจากเรื่องของการรักษาโดยวิธีที่เรียกว่าการทำจิตวิเคราะห์ก็ยังมีเรื่องของจิตสำนึก  จิตใต้สำนึก  เรื่องของโครงสร้างทางจิต อิด อีโก ซูเปอร์อีโก และพัฒนาการ5ขั้นของมนุษย์ที่เป็นต้นเหตุของอาการทางโรคประสาท   เรื่องของสัญชาติญาณ เรื่องของกลไกในการป้องกันตนเอง  และก็ได้บัญญัติศัพท์ทางด้านจิตวิทยาอีกหลายคำ อย่างเช่นคำว่า  ออดิปุสคอมเพล็กซ์นี่ก็เหมือนกัน 

ทีนี้เราก็มาดูกันว่าปมออดิปุสนั้นมันอยู่ตรงไหน   มันอยู่ในเรื่องของพัฒนาการ 5 ขั้นในวัยเด็กของเรา   ฟรอยด์แบ่งพัฒนาการพื้นฐานในวัยเด็กที่มีอิทธิพลต่อบุคลิกภาพวัยผู้ใหญ่ของคนเราออกเป็น 5 ขั้น นับตั้งแต่เกิดไปจนถึงช่วงวัยรุ่นตอนปลายอายุสิบแปดสิบเก้าปีก่อนที่จะเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว

ขั้นแรกพัฒนาการทางปาก(oral stage)   
ปากเป็นเอกเลขเป็นโทโบราณว่า  หนังสือตรีมีปัญญาไม่เสียหลาย
ถึงรู้มากไม่มีปากลำบากกาย  มีอุบายพูดไม่เป็นเห็นป่วยการ
พระราชนิพนธ์ในเรื่องวิวาห์พระสมุทร ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว   พัฒนาการทางปากนี้เป็นขั้นที่เด็กจะใช้ปากเป็นเครื่องมือในการติดต่อกับโลกภายนอก   ทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นและสัมผัสจับต้องได้เป็นต้องเอาใส่ปากดูดแทะ   แต่ไมใช่เพื่อการเรียนรู้ การเรียนรู้เป็นเพียงผลพลอยได้ที่ตามมา   หากแต่หวังว่าสิ่งนั้นจะให้ความสุขได้เหมือนกับหัวนมของแม่เพราะสิ่งแรกที่เด็กจะใช้ปากดูดแทะก็คือหัวนมของแม่ที่มีน้ำนมไหลออกมา   ซึ่งมันทำให้เด็กอิ่มสบายมีความสุขแล้วก็หลับต่อได้    

ทีนี้เวลาที่เด็กตื่นมาแล้วหิว  ช่วงที่ไม่หิวมากก็ยังไม่ทุรนทุรายเพียงแต่เห็นอะไรก็จับใส่ปากไปพลางๆ ด้วยคิดว่าสิ่งที่เอาใส่ปากนั้นจะทำให้อิ่มเหมือนกับหัวนมของแม่   พอดูดไปแทะไปก็ไม่มีน้ำนมไหลออกมาสักทีท้องก็หิวจึงร้องโวยวายด้วยความหิว     ถ้าแม่มีเวลาคอยดูแลเอาใจใส่ลูกดีก็จะตอบสนองความต้องการของลูกได้อย่างทันท่วงทีและเพียงพอ    จับลูกมาให้กินนมเด็กก็กินอิ่มหลับสบายมีความสุข   แต่แม่บางคนโดยเฉพาะแม่มือใหม่หัดเลี้ยงหรืออาจจะยังเด็กเกินไม่ประสีประสากับการเลี้ยงลูกหรือมีลูกโดยไม่ได้ตั้งใจก็จะไม่ค่อยสนใจเลี้ยงดูเท่าที่ควร   ปล่อยปละละเลย ลูกร้องหิวนมก็ยังนั่งอยู่ที่เดิมเพลินไปกับการดูทีวีหรือคุยโทรศัพท์ ปล่อยให้ลูกนอนร้องจนตัวเขียวตัวงอด้วยความหิว    พอทนเสียงลูกร้องไม่ได้จึงจะมาให้นมลูกกิน    ทีนี้ลูกกินไปได้สักพักถอนปากออกจากหัวนมเพื่อหยุดหายใจหรือพักเหนื่อยแม่มันก็เลยถือโอกาสให้ลูกหยุดกินจะได้ไปดูทีวีหรือโทรศัพท์ต่อ   ลูกก็ได้กินอิ่มบ้างไม่อิ่มบ้าง  ทีนี้สัญชาติญาณมันบอกเด็กว่าต่อไปนี้ถ้าขืนมัวโอ้เอ้กินช้าเดี๋ยวแม่เอาหัวนมไปก็จะอดกิน   พฤติกรรมการดูดนมของเด็กก็จะก้าวร้าวขึ้น พอแม่อุ้มเข้าวงแขนเท่านั้นแหละ   ยังไม่ทันถกหัวนมออกมาเขาก็จะสอดส่ายจนตัวสั่นเพื่อที่จะรีบหาหัวนมให้เจอ    ทีนี้ก็ดูดใหญ่เลยดูดไปทึ้งไปเพื่อที่จะรีบคั้นให้น้ำนมออกมาเร็วๆ   ยิ่งรีบยิ่งคั้นแม่ก็ยิ่งเจ็บพอเจ็บมากเข้าแม่ทนไม่ได้ก็ต้องให้หยุดกินนมจากเต้า    หันไปใช้ขวดนมแทนซึ่งมันไม่นุ่มไม่นิ่มเหมือนเต้านมแม่   มันแข็งแต่เด็กก็ต้องกินเพื่อประทังชีวิต   พอกินเสร็จก็เหวี่ยงขวดนมทิ้งไปอย่างไม่สนใจใยดี   

พฤติกรรมการเลี้ยงลูกแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยโดยเฉพาะกับแม่สมัยใหม่ที่ไม่มีความอดทน    ไม่สนใจรักลูกเลยไม่ให้เวลากับลูก  บางคนก็กลัวนมยาน  หาว่าให้ลูกกินนมตัวมากแล้วนมจะยานเดี๋ยวนมไม่สวยผัวไม่รัก  ซึ่งจริงๆ แล้วนมมันไม่ยานไปได้หรอกแค่เด็กดูดไม่กี่เดือนแล้วเด็กตัวเล็กนิดเดียวมันไม่มีแรงมากขนาดนั้นหรอก    ที่นมมันยานนั้นส่วนใหญ่เป็นเพราะพ่อมันบีบมันทึ้งต่างหาก   มีถมไปผู้หญิงที่ไม่มีลูกแต่นมยานถึงเอว   มันเป็นความเข้าใจผิดๆ ของผู้หญิง   เด็กที่ถูกเลี้ยงมาอย่างอดๆ อยากๆ แบบนี้พอโตมาก็จะเป็นคนที่ชอบกินเห็นอะไรกินหมด   กินไม่เลือก  กินไม่เหลือให้คนอื่น    กินอย่างตะกละมูมมาม  บางคนบอกว่าดูพวกนี้กินแล้วน่าอะเร็จอร่อย   เป็นการกินทดแทนที่ไม่ได้กินอย่าจุใจตอนเป็นเด็กทารก   มันเป็นการทำงานของจิตใต้สำนึก

ทีนี้ก็มีอีก   แม่มือใหม่ที่วิตกจริตพอลูกร้องแว้ขึ้นมาก็เอานมยัดปากเพราะคิดว่าลูกหิวซึ่งเด็กอาจจะร้องเพราะมดกัดหรือร้อนหรืออะไรก็ตามแต่แม่ไม่ทันดูนึกว่าลูกหิวก็เอานมยัดปาก    เด็กที่ไม่หิวหรือหิวน้อยก็ดูดนิดหนึ่งเพราะไหนๆ ก็มีนมมาจ่อถึงปากแล้ว   พอกินนิดหนึ่งก็รู้สึกอยู่ท้องไม่หิวแล้วเลิกกิน    พอสักพักร้องอีกแม่ก็เอานมมายัดปากอีกก็กินอีกนิดหนึ่ง   พวกนี้เลยกลายเป็นพวกไม่รู้จักอิ่ม    ไม่รู้ว่าความหิวความอิ่มอยู่ตรงไหน   พอโตมาก็เป็นคนที่กินจุกกินจิก    กินทั้งวัน ปากอยู่ไม่สุข  ต้องเคี้ยวหมากฝรั่ง   ต้องสูบบุหรี่   หรือบางคนอาจจะแสดงออกไปในทางอื่นคือ ชอบพูดเป็นคนพูดมากพูดไม่หยุดปากพูดทั้งวัน   วันไหนไม่ได้พูดกับใครก็รู้สึกหงุดหงิดจะตายให้ได้ หรือในทางตรงกันข้ามอาจจะเป็นคนที่ไม่พูดเลยก็ได้  ชอบอยู่เงียบๆเฉยๆ มันกลัวโดนนมยัดปากเหมือนตอนเป็นเด็กๆ มันเข็ด   มันเป็นความคับข้องใจมันฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก   มันติดตัวไปจนโตเป็นผู้ใหญ่ เด็กวัยนี้ก็จะอยู่ที่อายุประมาณเกิดมาจนถึงขวบครึ่ง    ถ้าพ่อแม่เลี้ยงมาดีได้กินอิ่มนอนหลับเป็นเวลาอย่างเหมาะสมก็จะโตเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่มีปัญหาในด้านนี้”
“ แล้วยังไงละค๊ะที่ว่าเหมาะสม”
“ สิ่งแรกก็ต้องถามหมอ กุมารแพทย์  หมอจะรู้เรื่องพวกนี้ดี  ลุงมันร้างมานานแล้วเรื่องพวกนี้   แม่มือใหม่ต้องศึกษาให้รู้ถึงพฤติกรรมการกินของเด็กว่ากี่ชั่วโมงครั้งๆ ละประมาณเท่าไหร่   ที่แน่ๆ คือเมื่อถึงเวลาเด็กต้องได้กินอิ่มเมื่อกินอิ่มแล้วหากยังไม่ถึงเวลาเขาร้องขึ้นมาก็ต้องดูว่าเกิดอะไรขึ้น   ไม่ใช่เอะอะก็เอานมยัดปาก   อุดเข้าไปมันจะได้ไม่ร้องอย่างนี้ไม่ใช่...ไม่ถูกต้อง    แล้วก็ไม่ต้องกลัวนมยานถ้ากลัวนมยานก็ต้องไปห้ามคนที่นั่งทำตาปรืออยู่ข้างๆนั่นแหละ”
หนุ่ยทำท่ายิ้มอายๆ แต่ก็ไม่พูดอะไรสงสัยจะโดนใจ 

“ ลุงค๊ะแล้วพวกที่ชอบนินทาชาวบ้านละค๊ะ ใช่พวกเดียวกันนี้หรือเปล่า ”
อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ  ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหิน
แม้แต่องค์พระปฏิมายังราคิน  คนเดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา  
สุนทรภู่ท่านว่าไว้  บางสำนักเขาก็ว่าใช่นะแต่ลุงเห็นว่ามันเป็นพฤติกรรมของคนที่รู้สึกด้อยค่าในตนเองมากกว่า  อยากให้ตัวเป็นคนที่ดูดีมีคุณค่าขึ้นมาด้วยการทำตัวเป็นคนที่รู้มากรู้เรื่องของชาวบ้านเขาไปทั่วแล้วเอามาเล่าสู่กันฟังและเรื่องที่เล่ากันนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่ดีของชาวบ้าน   เรื่องความผิดพลาดของเขา   เพื่อที่จะเบี่ยงเบนความสนใจของวงสังคมออกไป ให้สนใจสิ่งทีไม่ดีของคนอื่นให้สังคมรับรู้ว่าคนอื่นๆ นั้นไม่ดีแล้วละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าตัวเป็นคนดีมีข่าวมาบอก แถมยังวิเคราะห์พฤติกรรมที่เป็นปัญหาชาวบ้านได้เก่ง   โดยนัยว่าฉันนี้เก่งนะฉันรู้หมดเลยว่าอะไรเป็นอะไร   แต่ลืมคิดไปว่าที่ฉันไม่รู้นะก็เรื่องของตัวฉันเอง  เวลาเราฟังคนพวกนี้เราจะเห็นว่าเขาไม่เคยพูดเรื่องของเขาเลย  พอมีใครมาพูดถึงเรื่องเขาหรือนินทาเกี่ยวกับเขาคนพวกนี้จะทนไม่ได้แล้วก็จะต้องเอามานินทากลับอย่างละเอียด หนูว่าจริงไหม”
“ คะ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นแบบนั้น ”
“ ทีนี้เรากลับมาดูพัฒนาการช่วงที่สองช่วงทวารหนัก(anal stage) 
ขี้แล้วหนีคือนก ขี้แล้วโดดคือกบ ขี้แล้วกลบคือแมว ขี้แล้วแจวคือหมา คนขี้ทิ้งไว้อุจจาดตา เขาฝากมา "ราดน้ำด้วย"  พวกวันรุ่นเขาชอบเขียนไว้ตามห้องสว้มสาธารณะ ผมก็เลยจำมาไม่รู้มันเขียนก่อนขี้หรือขี้ก่อนเขียน  ถ้าเขียนก่อนขี้มันก็ต้องทนปวดขี้ไปก่อน  แต่ถ้าเขียนหลังขี้มันก็ต้องทนเหม็นขี้มันเอง  พวกนี้มันช่างมีความอดทนจริงๆ  เอาละเรามาดูว่าพัฒนาการช่วงทวารหนัก นี้กันว่ามันเป็นอย่างไร    เป็นช่วงที่เด็กอายุขวบครึ่งถึงสามขวบ   เด็กก็จะเริ่มโตขึ้นมาอีกหน่อย ก่อนหน้านี้ยังเล็กอยู่มากยังเดินไม่ได้แต่ตอนนี้เริ่มตั้งไข่หรือเดินเตาะแตะแล้ว ไม่อยู่กับที่แล้วซิ   เสื้อผ้าก็ไม่ได้ใส่แบบของเด็กเล็กเบบี๋แล้ว  พูดจาก็พอจะรู้เรื่องบ้าง  พ่อแม่ก็จะสอนเรื่องการขับถ่ายให้ซึ่งก่อนหน้านี้นึกจะขี้จะเยี่ยวออกมาเมื่อไหร่ที่ไหนก็ไม่มีใครว่า   แต่ตอนนี้ไม่ได้ต้องฝึกขับถ่ายให้เป็นที่เป็นทาง  ทีนี้ฝึกยังไง   พ่อแม่ก็จับเด็กมานั่งกระโถนโดยตั้งเป็นโปรแกรมไว้เลยว่าเวลานั้นเวลานี้ต้องนั่งกระโถน   โดยไม่สนใจว่าเด็กจะปวดหรือไม่ปวดก็ตามต้องฝึกตามตารางเวลาที่จัดไว้เพื่อที่เด็กจะได้ติดเป็นนิสัยนี่คือความคิดของพ่อแม่ ซึ่งความจริงก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง   เด็กก็ถูกจับมานั่งกระโถนที่ทำเป็นรูปกระต่ายบ้าง   รถบ้าง  เพื่อล่อใจเด็กแต่กลายเป็นว่าเด็กเห็นสิ่งนั้นเป็นของเล่นก็เลยเพลินกับการเล่น  ถ่ายออกบ้างไม่ออกบ้างเสร็จแล้วก็จับไปทำความสะอาดล้างเจี้ยวล้างตูดทุกครั้ง   ทำอยู่อย่างนี้จนเด็กโตขับถ่ายเองเป็น  ทีนี้ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่าพอเด็กถ่ายไม่ออกพ่อแม่บางคนก็บังคับเด็กอย่างเข้มงวดเกินไป  โดยไม่สนใจว่าเด็กมีอารมณ์ช่วงนั้นเป็นอย่างไร  บางทีเขาอาจจะสนใจเล่นของเล่นบางอย่างอยู่ก็ให้เลิกเล่น  แล้วมานั่งกระโถน   

การเลี้ยงดูที่เข้างวดเกินไปอย่างนี้จะทำให้เด็กพอโตขั้นกลายเป็นคนเจ้าระเบียบ  เจ้าสำอางค์  สะอาดสะอ้านเกินไป  จู้จี้ขี้บ่น  ไม่มีความยืดหยุ่น   ใช้ชีวิตอยู่บนระเบียบกติกามากเกินไป เป็นคนที่ไม่ค่อยมีความคิดสร้างสรรค์คิดนอกกรอบไม่ค่อยเป็น

หากปล่อยเด็กให้ค่อยเป็นค่อยไปสังเกตดูว่าเมื่อใดที่เขาปวดก็ค่อยจับไปนั่งกระโถน  ออกบ้างไม่ออกบ้างก็ไม่เป็นไร  บางครั้งจับไปนั่งไม่ทันเด็กมันจะถ่ายเรี่ยราดก็ถือว่าเป็นปกติของวัยของเขา  บางครั้งถ่ายออกมาไม่มีใครเห็นเขาจะนั่งเล่นของเขาก็ไม่เป็นไรเพราะ  นั่นเป็นผลงานของเขาเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เขาสร้างขึ้นมา  ก็อย่าไปแสดงอาการรังเกียจเดียดฉันท์โหวกเหวกโวยวายซะจนเด็กตกใจ  ส่วนใหญ่พ่อแม่จะโวยวายเพราะรู้สึกอายว่าลูกทำเลอะเทอะ   สร้างงานให้ต้องมาทำความสะอาดกันอีก   อย่างนี้จะทำให้เด็กเกิดความไม่มั่นใจว่าสิ่งประดิษฐ์ของเขาจะได้รับการยอมรับ  โตมาก็จะไม่ค่อยกล้าแสดงออก ไม่ว่าจะเป็นการกระทำหรือความคิดเห็นก็ตาม    ถามอะไรก็ไม่ค่อยตอบ  ถามคำตอบคำ  เพราะกลัวว่าจะไม่ได้รับการยอมรับ   เรื่องการขับถ่ายของเด็กเนี่ยเราต้องค่อยๆ สอนเดี๋ยวเขาก็ทำได้เองเมื่อถึงเวลา เมื่อเขามีความพร้อม  หากเรายอมรับในผลงานของเขาในสิ่งประดิษฐ์ของเขา   อย่างนี้เด็กโตมาก็จะเป็นคนที่มีชีวิตชีวาร่าเริงแจ่มใส  มีความภาคภูมิใจในผลงานที่เขาทำ   เขาสามารถที่จะคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาได้    แต่ถ้าเลี้ยงแบบปล่อยปละละเลยมากเกินไปคือปล่อยเด็กให้นอนเล่นขี้เล่นเยี่ยวอยู่บ่อยๆ แม้ว่าเขาโตมาจะเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์  แจ่มใสร่าเริง   แต่ก็จะเป็นคนที่ไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย  ชีวิตสับสนวุ่นวาย  เหมือนพวกศิลปินหลายๆ คน

แต่ยุคนี้มีกางเกงอนามัยสำหรับเด็กซึ่งสะดวกสำหรับพ่อแม่สมัยใหม่ กางเกงตัวเดียวให้เด็กใส่ได้แปดเก้าชั่วโมง   เด็กไม่รู้ก็ขี้ก็เยี่ยวในนั้น เดินไปไหนมาไหนก็พกขี้พกเยี่ยวของตัวห้อยโทงเทงไปด้วย    กว่าพ่อแม่จะเปลี่ยนให้ก็ส่งกลิ่นเหม็นออกมานั่นแหละจึงจะรู้ว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยน   บางคนที่ไม่ค่อยมีเงินก็ให้เด็กใส่ซะจนมันรองรับไม่ได้แล้ว   ไหลออกมาเป็นทางจึงค่อยเปลี่ยนอย่างนี้ก็จะทำให้เด็กกลายเป็นคนที่มักง่าย  ชอบความสบาย  นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ   ทำแล้วก็ทิ้งไว้ตรงนั้นไม่เก็บไม่กวาด  ขี้เหนียวขี้เกียจ  ไม่มีน้ำใจ  ไม่รู้จักการให้  หมักหมมไม่ค่อยอาบน้ำอาบท่า   เสื้อผ้าก็ไม่ค่อยซักใส่แล้วกองเป็นภูเขา  ห้องหอก็ไม่เก็บไม่กวาดแต่สำอางค์ชอบแต่งตัว    ไม่สวยไม่หล่อก็ออกบ้านไม่เป็น  ไม่ได้หมายความว่าไม่มั่นใจคือต้องแต่งจนมั่นใจแล้วจึงจะออกบ้าน   พอออกบ้านไปแล้วก็มั่นใจทั้งวันกลับมาถึงบ้านก็นอนมันทั้งชุดนั้นแหละ    ชีวิตการทำงานก็ชอบสะสมงานจนกองเต็มโต๊ะเป็นดินพอกหางหมู   ผลัดวันประกันพรุ่งไม่ถึงเส้นตายไม่หมดเวลาก็ไม่เอามาทำ  แล้วก็ทำแบบลวกๆ ให้มันเสร็จทันเวลา   ทั้งที่มีความคิดดีๆ คิดได้สร้างสรรค์ด้วยแต่ไม่ชอบทำ  ไม่รู้ว่าคุณสองคนเคยเห็นกันบ้างหรือเปล่าคนประเภทนี้ ”
“ ครับ มีครับพวกเพื่อนๆ บางคน    ตอนเรียนที่มหาวิทยาลัยหลายคนมักจะรอเวลาจนกว่าจะถึงกำหนดส่งอาจารย์แล้วค่อยมาทำกัน และก็ทำกันอย่างลวกๆ ส่วนใหญ่ก็เอาของเพื่อนไปดัดแปลงคนนั้นนิดคนนี้หน่อยแล้วก็เอาไปส่งอาจารย์จนเรียนจบ ” 
“ ช่วงที่สามช่วงอวัยวะเพศ (phallic stage) หรือศูนย์รวมความบันเทิง  ทีนี้พอเลยวัยสามขวบแล้ว เด็กก็จะทิ้งความสนใจเรื่องการขับถ่ายไปเพราะขับถ่ายเป็นแล้วจึงหันมาให้ความสนใจกับอวัยวะเพศของตนบ้าง   ช่วงวัยนี้เด็กเรียนรู้ที่จะเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างเพศแล้วว่ายังมีอีกเพศหนึ่งนะที่ไม่เหมือนกับตนอาจจะเป็นการเห็นเด็กๆ ด้วยกันหรือเห็นของพ่อของแม่ของตนก็ได้  เด็กก็จะเริ่มสงสัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กผู้ชายที่ไอ้จู๋มันกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์    เดี๋ยวมันก็หดนิ่มปอดแปดเดี๋ยวมันก็ยืดยาวแข็งโป้ก   เอะมันยังไงกันเนี่ย   แล้วทำไมน้องเจี๊ยบคนข้างบ้านผมยาวๆ ตาโตๆ ตัวเท่าๆ กับเราทำไมไม่มีเหมือนเรา  หรือน้องเจี๋ยบก็อาจจะคิดตรงกันข้ามกันว่าทำไมเจ้าตึ๋งหัวโตคนข้างบ้านมันมีของเล่นแปลกๆ บางทีก็เห็นมันเอาออกมาเล่น   เวลามันปวดฉี่มันก็ถลกขากางเกงแล้วควักออกมายืนแอ่นฉี่ได้อย่างสบาย   แล้วทำไมเราไม่มีเหมือนมัน   ของเรามันหายไปไหนหรือใครตัดของเราออกไปแล้ว ทำไมเราต้องนั่งฉี่   ทำไมเรายืนฉี่เหมือนมันไม่ได้   มันเป็นอะไรเหรอเห็นแม่มันเรียกว่าจู๋   แล้วทำไมของเราแม่ถึงเรียกว่าจิ๋ม 

ช่วงนี้เราต้องให้ความรู้แก่เด็กว่าเขาเป็นเด็กหญิงเป็นเพศเดียวกับแม่หรือเด็กชายก็เป็นเพศเดียวกับพ่อ   เพื่อที่เด็กจะไม่สับสนในเพศของเขา  การแต่งตัวให้เขาก็ต้องเหมาะสมกับเพศที่เขาเป็น  พ่อแม่หลายคนพยายามที่จะให้ลูกของตนเด่นในสายตาของสังคมโดยเฉพาะเด็กชายจึงพยายามให้เด็กไว้ผมยาวเหมือนเด็กหญิงโดยรู้เท่าไม่ถึง
การณ์ว่านั่นเป็นการปลูกฝังค่านิยมความเป็นหญิงเข้าไปในจิตใจของเขาแล้ว   เพราะเวลาลูกอาบน้ำเสร็จก็จะพาลูกมาประแป้งหวีผมสางผมที่ยาวๆ นั้น   พร้อมกับกล่าวชื่นชมกรอกหูลูกทุกวันว่าสวยเหมือนผู้หญิงเลย    ตรงนี้แหละที่ทำให้เด็กผู้ชายหลายคนเกิดความเบี่ยงเบนทางเพศไปได้   แม้ว่าตามทฤษฏีแล้วคนเราทุกคนจะมีคุณสมบัติของทั้งสองเพศอยู่ในจิตใจเป็นพื้นฐานอยู่แล้วก็ตาม   เรื่องนี้เดี๋ยวจะพูดให้ฟังทีหลัง   ตอนนี้เอาห้าขั้นนี้ให้จบก่อน   พอเด็กเข้าใจแล้วว่าในโลกนี้มีอยู่สองเพศคือเพศหญิงเหมือนแม่กับเพศชายเหมือนพ่อและทุกครอบครัวเด็กจะต้องมีอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิตที่เคยเห็นพ่อกับแม่พรอดรักกันหรือแสดงความรักต่อกันหรือจู๋จี๋กันหรือเห็นพ่อกับแม่นอนด้วยกัน

เด็กผู้ชายก็จะมองว่าเอะนี่พ่อนอนกับแม่ของเรา   เราก็นอนกับแม่  เรากินนมแม่มาแต่ไหนแต่ไรแล้วเราก็มีสิทธ์เป็นเจ้าของแม่เหมือนกัน แต่ทำไมบทบาทระหว่างแม่กับเราไม่เหมือนบทบาทระหว่างแม่กับพ่อ แล้วทำไมพ่อต้องมาแย่งแม่กับเรา   เราก็รักแม่เหมือนกันนี่    แล้วทำไมแม่ทำกับเราไม่เหมือนที่แม่ทำกับพ่อ    ลูกชายจึงรู้สึกอิจฉาพ่อพยายามเลียนแบบพฤติกรรมพ่อเพื่อที่จะให้ชนะใจแม่และแสดงความรักต่อแม่มากขึ้นก็คือติดแม่นั่นแหละ   การที่พยายามเอาชนะพ่อเพื่อที่จะได้ครอบครองความรักของแม่แต่ผู้เดียวเด็กชายจึงเลียนแบบพฤติกรรมความเป็นชายจากพ่อ     ขณะเดียวกันก็แสดงพฤติกรรมที่เป็นปรปักษ์กับพ่อขึ้นมาเช่นดื้อพ่อ  ไม่เชื่อฟังพ่อ  พฤติกรรมการแย่งความรักระหว่างลูกชายกับพ่อมันมีมานานแล้ว   ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรณ์ มันเป็นสัญชาติญาณของสัตว์ที่ยังหลงเหลืออยู่ในจิตใต้สำนึกของมนุษย์  ในส่วนที่เป็นสันดานดิบที่เรียกว่า อิด และจะต้องถูกหักล้างโดยซูเปอร์อีโก้  ที่อยู่ในรูปของระบบการศึกษา  ระบบการให้ความรู้และคุณธรรม   โดยพ่อแม่จะต้องเป็นผู้ที่คอยสั่งสอน  ให้ความรู้ความเข้าใจและแม้แต่การลงโทษเพื่อที่จะให้อิดในตัวเด็กนั้นอ่อนแรงลงและเกิดความสมดุลในอีโก้  ซื่งหมายถึงตัวเด็กนั้นให้มีความสมดุลในด้านจิตใจ   ให้รู้ผิดชอบชั่วดี   รู้จักแยกแยะบทบาทได้ถูกต้อง    แต่ถ้าพ่อแม่ไม่สามารถทำให้เด็กตระหนักในมโนธรรมส่วนนี้ได้ว่า   นี่พ่อนะนั่นแม่นะ    เด็กก็จะหลงผิดมีจิตลำเอียงเข้าข้างแม่รักแม่และโกรธพ่อ   นี่ผมพูดถึงในวัยเด็กนะ  แต่พอโตขึ้นเด็กก็จะลืมความรู้สึกส่วนนี้ไปทั้งๆ ที่มันยังมีอยู่    ในส่วนของจิตใต้สำนึกซึ่งไม่อาจรู้ตัวได้ในภาวะปกติธรรมดา  และมันก็มีผลต่อพฤติกรรมหรือการดำเนินชีวิตของเด็กในอนาคต   มีผลยังไงบ้างก็คือ   เด็กคนนั้นอาจจะรักคนที่อายุมากกว่าตัวคือมีเมียแก่เพราะตอนเป็นเด็กนั้นไม่สมหวังในความรักที่มีต่อแม่   ตอนนี้จึงต้องสนองความต้องการที่คาใจอยู่หรือโตมาอาจจะไม่แต่งงานเลยก็ได้เพราะรักแม่อยากอยู่กับแม่  อยากดูแลแม่ให้แม่มีความสุข   ได้อยู่กับแม่แล้วมีความสุข   ไม่มีหญิงใดที่จะมาให้ความสุขได้ดีเหมือนแม่    นี่พูดถึงในระดับจิตใต้สำนึกนะ   คือเขาไม่รู้ตัวว่าอะไรทำให้เขาเป็นเช่นนั้นแต่ในระดับจิตสำนึกหรือระดับที่รู้ตัวได้นั้นเขาอาจจะทำตัวให้ยุ่งอยู่กับงานตลอดเวลาหรือไม่ก็ไม่ได้สนใจหรือไม่คิดที่จะมีครอบครัวโดยอ้างว่าไม่พร้อมบ้าง   ยังไม่เจอคนที่ถูกใจบ้าง  มันจะไปพร้อมได้ยังไงและมันจะไปเจอได้ยังไงเพราะอยู่กับแม่ก็มีความสุขดีแล้ว   ตรงนี้แหละที่เขาเรียกว่าติดอยู่ในปมออดิปุส
เด็กผู้หญิงก็เหมือนกัน   คืออิจฉาแม่ที่พ่อทุ่มเทความรักให้กับแม่เด็กผู้หญิงจึงพยายามเลียนแบบความเป็นหญิงจากแม่เพื่อที่จะให้พ่อนั้นหันมาสนใจตนบ้าง  ในเด็กหญิงนี้เขาเรียกว่าติดปมอีเล็คตร้า    เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่าปมออดิปุสกับปมอีเล็คตร้าทำไมถึงได้ชื่อนี้    ดังนั้น เด็กวัยสามถึงห้าขวบถ้าเป็นเด็กชายจึงติดแม่รักแม่เกลี่ยดพ่อ   เด็กหญิงก็รักพ่อเกลียดแม่ ”

“ แล้วอย่างนี้จะแก้ไขได้ไหมครับ ”
“ แก้ได้  ด้วยการทำจิตบำบัด ”
“ มันเป็นยังไงครับการทำจิตบำบัด ”
“ เรื่องนี้ต้องเล่ากันยาว   เอาทีละอย่างลูก  ใจเย็นๆ ยังมีเวลาอีกหลายวันไม่ใช่เหรอ ”
“ ครับสองวันครับ ”
“ทีนี้ก็เข้าขั้นที่สี่ ขั้นแฝงตัว(latent stage) ช่วงนี้เด็กจะอายุประมาณหกขวบถึงสิบสองปี   ช่วงนี้จิตของเด็กเริ่มว่างแล้ว  กินเองเป็น  ขับถ่ายหรือควบคุมการขับถ่ายเป็น  ความสงสัยในเรือนร่างของตนนั้นหมดไปแล้ว   เด็กผู้ชายก็รู้แล้วว่าตนนั้นเหมือนพ่อและพ่อก็เป็นคู่แข่งของตน  เด็กผู้หญิงก็รู้แล้วว่าตนนั้นเหมือนแม่และแม่ก็เป็นคู่แข่งของตน  เพราะฉะนั้นเด็กช่วงนี้จึงมีเวลาที่จะเริ่มบ่มเพาะอัตลักษณ์ของตน เด็กจะมองโลกในแง่ดีหรือแง่ร้าย  รู้จักหวงแหนรู้จักให้  รู้จักรักรู้จักอิจฉาก็ในวัยนี้แหละ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างพี่น้องด้วยกันในครอบครัวที่มีลูกหลายคนไม่ว่าเขาจะเกิดมาเป็นลูกคนโต   คนกลาง หรือคนเล็กก็ตาม 

พออายุย่างเข้าสู่วัยนี้พวกเขาจะเรียนรู้บทบาทระหว่างพี่น้อง กันเอง ถ้าพ่อแม่เข้าใจให้ความสนใจให้ความยุติธรรมหรือให้ความสำคัญกับเด็กได้สมวัยทำให้เขามีความพึงพอใจในบทบาทหรือสิ่งที่ได้รับ  พวกเขาก็สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพี่น้องได้    แต่หากพ่อแม่ไม่เข้าใจเช่น อะไรๆ ก็ใช้พี่คนโต ทำหมดโดยอ้างว่าโตแล้วต้องทำ ต้องรับผิดชอบ  ต้องดูแลน้อง  ต้องรับโทษแทนน้อง   พี่คนโตก็จะรู้สึกไม่ดีต่อบทบาทของความเป็นพี่คนโต   บางคนก็ถึงกับแกล้งทำเป็นไม่โต  ไม่รู้เรื่อง ไม่มีความรับผิดชอบแม้แต่กับสิ่งที่เป็นของตน เรื่องของตน  เพื่อที่พ่อแม่จะได้ไม่ต้องใช้ให้ทำอะไรและที่แย่ไปกว่านั้นพี่ใหญ่บางคนไม่เพียงหยุดพัฒนาการแต่กลับมีพัฒนาการที่ถดถอย   จากสิ่งที่เคยทำได้สิ่งที่เคยทำเป็นก็แกล้งทำไม่ได้ทำไม่เป็นเพื่อเรียกร้องความสนใจบ้าง   แล้วพ่อแม่ที่ไม่เข้าใจก็จะกรอกหูว่าไม่ได้เรื่อง  ไม่เป็น  ไม่เก่ง  ไม่มีความรับผิดชอบ   อะไรต่ออะไรที่เป็นเชิงลบก็จะถูกตราลงไปที่พี่ใหญ่   อย่างนี้ก็นับว่าเป็นความโชคร้ายของพี่ใหญ่ที่พ่อแม่ไม่เข้าใจและเขาเองยังมองว่าโอกาสและบทบาทที่เขาได้รับนั้นเป็นภาระเป็นความสูญเสียซึ่งความรักและความสนใจจากพ่อแม่อีก  เพราะก่อนหน้านี้เขาเป็นขวัญใจของทุกคน   ในบ้านมีเขาเพียงคนเดียว   ทุกคนต่างก็รักเขาให้ความสนใจเขาแต่พอมีน้องขึ้นมาเขากลับตกกระป๋อง   ทุกคนหันไปสนใจน้องหมดส่วนเขานั้นไม่ได้รับความสนใจจากใครๆ อีกต่อไปแถมยังถูกใช้ให้ทำอะไรต่ออะไรให้น้องอีก   พี่ใหญ่จึงกลายเป็นศรีธนนชัยอิจฉาน้องแกล้งน้อง  ต่อหน้าพ่อแม่ก็ทำดีต่อน้องแต่พอลับหลังก็แอบหยิกน้องบ้างปล่อยให้น้องนอนแช่ขี้แช่เยี่ยวอย่างไม่สนใจใยดีบ้าง  แม่ให้ดูน้องกินนมคอยจับขวดนมให้น้องก็ปล่อยให้น้องกินเองขวดนมน้องหลุดออกจากปากก็ไม่สนใจปล่อยให้น้องนอนร้องอยู่อย่างนั้นแล้วก็บอกว่าไม่รู้ว่าน้องเป็นอะไรเอานมให้กินก็ไม่กินอะไรทำนองนี้ 

ต่างกันกับพี่ใหญ่บางคนที่ยอมรับภาระกิจและบทบาทที่ได้รับซึ่งอาจจะเป็นเพราะพ่อแม่เตรียมตัวเขาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าเขาจะมีน้องใหม่ เขากำลังจะกลายเป็นพี่ใหญ่ที่มีน้องมาอยู่เป็นเพื่อนเล่นแต่ตอนที่น้องยังเล็กอยู่เรายังต้องช่วยกันดูแลน้องก่อน   เพื่อที่น้องจะได้โตเร็วๆและเล่นกับพี่ได้   ตอนนี้พี่ต้องคอยช่วยน้องสอนน้อง   ทำให้น้องดูเป็นตัวอย่างทำให้น้องเห็นว่าพี่เก่งอย่างไรทำให้น้องเห็นว่าพี่สามารถช่วยพ่อกับแม่ได้อย่างไรบ้าง  พี่ใหญ่ก็จะเกิดความภาคภูมิใจในตัวเองและบทบาทที่ได้รับ   มีความรับผิดชอบ มีความรักให้น้องและสามารถเสียสละเพื่อน้องได้   เมื่อโตขึ้นก็จะกลายเป็นคนที่มีบุคลิกของความเป็นผู้นำเป็นที่รักของคนในวงการและผู้ที่พบเห็น 

ทีนี้มาถึงลูกคนกลาง ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ใช่   ก่อนหน้านี้เป็นคนเล็กแต่ก็เป็นอยู่ระยะหนึ่งเท่านั้น  ในช่วงที่ยังไม่ได้เป็นลูกคนกลางเขาจะได้รับการปรนณีบัติเป็นอย่างดีเพราะเขายังเล็กอยู่   ช่วงนี้เขาจะยังรู้สึกพึงพอใจกับการเป็นลูกคนเล็กและบางครั้งการเป็นลูกคนเล็กของเขาทำให้เขามีบทบาทและได้รับโอกาสที่ดีกว่าพี่ใหญ่ด้วยซ้ำ   แต่เมื่อใดก็ตามที่ความเป็นลูกคนเล็กของเขาทำให้เขาเสียโอกาสบางอย่างไป เขาก็จะมองว่าความเป็นลูกคนเล็กนั้นเป็นอุปสรรคของชีวิต    ความเป็นลูกคนเล็กทำให้เขากลายเป็นที่สองซึ่งไม่ใช่ที่หนึ่ง   นั่นก็คือเขาจะมองเห็นว่าเกิดมาเขาก็เป็นที่สองแล้ว   ตรงนี้จะผันชีวิตเขาไปสองทางคือฮึดสู้หรือยอมรับชะตากรรม 

ถ้าฮึดสู้ก็มีสองแนวทางคือสู้ด้วยการหาแนวทางที่เป็นของตนเองเช่นเล่นคนเดียวได้   ไม่สนใจว่าใครเขาทำอะไรฉันพอใจที่จะทำของฉันแบบนี้  ฉันเป็นของฉันแบบนี้แล้วใครอย่ามายุ่งกับฉันนะ   อย่ามาแตะสิ่งที่ฉันทำฉันอุตสาห์ปลีกวิเวกแล้วนะ    ถ้ายังขืนมายุ่งกับฉันอีกละก้อน่าดู  พวกนี้ก็กลายเป็นน้องเล็กตัวแสบหรือน้องเล็กที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูงนั่นก็หมายความว่าเขาพบหนทางที่เป็นของตัวเองและพัฒนาต่อไปได้ 

แต่ก็มีที่เด็กหาแนวทางนี้ไม่พบแล้วก็สู้ด้วยวิธีอื่นคือด้วยการเรียกร้องความสนใจทำตัวเป็นลูกแหง่อยู่ตลอดเวลาอะไรก็ทำไม่ได้    ทำไม่เป็น  ต้องการความช่วยเหลือ   ประจบประแจงขอความเห็นใจ   ทำตัวให้น่าสงสาร แต่ลึกๆ แล้วอิจฉาพี่อยู่ตลอดที่ใครๆ ก็เห็นว่าพี่เก่ง อะไรๆ พี่ก็ทำได้   อะไรๆ พี่ก็ได้ก่อน  ทีนี้ถ้าเราอยากได้ก่อนเราจะทำยังไง  เอาหละเราต้องทำหงอยๆ เล่นตัว  สะบัดสบิ้ง  ประชดประชันกระแทกแดกดัน  ร้องไห้ฟูมฟาย   โหวกเหวกโวยวายแล้วก็ลงไปชักดิ้นชักงอเดี๋ยวพวกเขาทนไม่ได้เขาก็ให้เราเอง   อะไรทำนองนี้ซึ่งวิธีการนี้พี่ใหญ่ที่อิจฉาน้องก็ทำเหมือนกันเพราะทำแบบนี้แล้วในที่สุดก็ได้สมใจแม้ว่าบรรยากาศมันจะไม่ดีนักแต่ก็ได้และสะใจด้วย

แต่ถ้ายอมรับชะตากรรมว่า   เอาเถอะอย่าอะไรมากเลยสู้ไปก็แค่นั้นแถมยังเหนื่อยเปล่า  เขาก็จะเป็นไปอย่างเรื่อยๆ เฉื่อยๆ ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็เป็นแบบพวกไม่กินข้าวกลางวันคือพวกเช้าชามเย็นชาม  เพราะพวกนี้ถือคติว่าถึงจะทำอย่างไรก็เป็นได้แค่ที่สอง 

ตอนนี้ยังเป็นน้องเล็กอยู่นะ  ทีนี้พอมีน้องใหม่เกิดขึ้นมาอีก  จากการที่เป็นน้องเล็กก็กลายเป็นหมาหัวเน่าเข้าที่ไหนก็ไม่ได้   จะเป็นพี่ใหญ่ก็ไม่ใหญ่จริงเพราะเป็นที่สอง    จะเป็นน้องเล็กก็ไม่เล็กจริงเพราะเป็นน้องรอง  จะทำอะไรเขาก็บอกว่าอย่าพึ่งทำให้พี่เขาทำก่อนเพราะพี่โตแล้วบ้าง  โตกว่าบ้าง   หรือบางทีต้องให้น้องไปเพราะน้องยังเล็กอยู่ เราโตแล้วไม่ต้องแย่งน้องเสียสละให้น้องไป    เสื้อผ้าก็ต้องรอรับต่อจากพี่ไม่เคยได้ใหม่กับเขาสักที   ของน้องก็เหมือนกันมีแต่คนซื้อใหม่ให้   เวลาไปไหนพ่อก็จูงแต่พี่ใหญ่แม่ก็อุ้มแต่น้องเล็ก    แล้วนี่มีใครรักหนูบ้างเนี่ย   มีใครเห็นใจหนูบ้าง  แล้วนี่หนูมีสิทธิ์อะไรบ้างเนี่ย โธ่!...ไปดีกว่า  ไปตามทางของเขาคือถ้าไม่สู้ก็ปลีกวิเวก    ถ้าสู้ก็สู้ด้วยสองวิธีอย่างที่ว่ามาแล้วคือสู้ด้วยการไปตายเอาดาบหน้าถ้าไม่ตายก็ได้ดี   หรือสู้แบบตัวร้ายหัวเราะทั้งน้ำตา 

ดังนั้นชีวิตน้องรองหรือคนที่สอง สาม สี่ ห้า หรือคนใดๆ ก็ตามที่ยังไม่ใช่คนสุดท้องก็มักจะมาแนวนี้  และส่วนใหญ่ก็จะมีพัฒนาการออกไปในทางสร้างสรรค์    ที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัวไม่เหมือนใครในครอบครัว   อ้อ!.ลืมพูดไปอีกอย่างหนึ่งน้องสองหรือน้องกลางเนี่ยถ้าเขามีความคับข้องใจสูงและเรียกร้องความสนใจมากเขาก็อาจจะแสดงพฤติกรรมแบบถดถอยได้เหมือนกัน   น้องกลางเป็นสมาชิกในครอบครัวที่มีความเสี่ยงในความผกผันของชีวิตสูงกว่าพี่ใหญ่และน้องสุดท้อง   ฝรั่งเรียกน้องกลางว่าเด็กวันพุธ เว้นสเดย์ชายลด์

แล้วน้องเล็กหละเป็นอย่างไรน้องเล็กหรือลูกคนสุดท้อง ก็เป็นอย่างที่พูดมาแล้ว   แต่ตรงนี้มันจะต่างกันนิดหนึ่งในประเภทที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างเอาอกเอาใจมากเกินไป  ลูกคนเล็กก็อาจจะกลายเป็นคนที่เล็กไปตลอดชีวิต คือกลายเป็นคนที่ไม่รู้จักโต  ไม่รู้จักรับผิดชอบ  ไม่มีความคิดสร้างสรรค์   นอนรอสมบัติหรือความช่วยเหลือจากพ่อแม่และพี่คนอื่นๆ หรือไม่ก็สำมะเลเทเมาเผาผลาญสมบัติไปวันๆ ก็มี 

แต่ส่วนใหญ่น้องคนเล็กจะเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงเพราะได้รับการส่งเสริมและการสนับสนุนจากพ่อแม่และพี่ๆ  อยู่ตลอด ตรงนี้จึงเป็นแรงบรรดาลใจให้เขาเกิดความเชื่อมั่นว่าเขาทำได้และเขาเป็นที่ยอมรับของทุกคน  แต่ก็มักจะเป็นคนที่เอาแต่ใจตนเอง  ไม่ค่อยรู้จักเห็นใจผู้อื่นในที่นี้ก็คือไม่ค่อยรู้จักถึงคำว่าให้  แต่ถ้าจะมีการให้ส่วนใหญ่ก็มักจะให้ด้วยเงื่อนไขถ้าไม่ใช้เงื่อนไขที่ตนเองตั้งขึ้นก็เป็นเงื่อนไขที่ผู้อื่นตั้งคือถูกบังคับนั่นแหละจึงจะให้ “อึ๊!..ให้ก็ได้” อะไรทำนองนี้

ฉะนั้นในการเลี้ยงเด็กเราจึงต้องระวังเพราะนอกจากสามช่วงที่พูดถึงก่อนหน้านี้แล้ว  ในช่วงวัยนี้ก็เป็นอีกช่วงหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อเด็กนะ  เด็กผู้หญิงจะมองและลอกเลียนทุกอย่างจากแม่ เด็กผู้ชายก็จากพ่อ มันเป็นการเรียนรู้ทักษะทางสังคม   เรียนรู้ที่จะจัดการกับชีวิตประจำวันของตน  เรียนรู้ที่จะติดต่อกับคนอื่น   เรียนรู้ที่จะแสดงออกในสิ่งที่สังคมยอมรับ   ที่ทำแล้วได้รับคำชมจากพ่อแม่หรือจากครูที่โรงเรียน เรียนรู้กติกาบางอย่างว่าทำอะไรแล้วถูกลงโทษอะไรทำแล้วได้รางวัลเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบภารกิจเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้รับมอบหมาย   เรียนรู้ที่จะมีเพื่อนคิดถึงเพื่อนหรือปฏิเสธที่จะเป็นเพื่อนกับคนที่ไม่ถูกใจได้  ที่สำคัญคือเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับพี่น้องและเรียนรู้ที่จะจัดลำดับความสำคัญให้กับตนเอง

มันเป็นช่วงมองโลกมองสังคม  ช่วงนี้เด็กจะสนใจและจดจำทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์หรือบุคคล  ความทรงจำในวัยนี้มันจะอยู่กับเด็กไปจนแก่เลย   สังเกตดูคนแก่บางคนที่เลอะเลือนแล้วแต่ยังจำได้ว่าเพื่อนรักในวัยเด็กเป็นใคร    ครูที่ประทับใจครูใจดีหรือครูใจร้ายเป็นใคร   เหตุการณ์ฝังใจเป็นเหตุการณ์อะไร ของเล่นสุดรักการ์ตูนสุดโปรดอะไรพวกนี้จำได้หมดเลย

ช่วงที่ห้าช่วงวัยรุ่น (genital stage) ช่วงเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ เด็กช่วงนี้ก็จะอายุประมาณสิบสามถึงสิบแปดปี   พวกเขาก็จะกลับมาสนใจตัวเอง  รักสวยรักงาม  รู้จักสนใจเพื่อนที่เป็นเพศตรงกันข้ามมากขึ้น เพราะเริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์  เด็กผู้หญิงก็จะเริ่มมีหน้าอกมีรอบเดือนเด็กผู้ชายก็จะมีอสุจิแล้ว   พ่อแม่ก็ต้องกลับมามีบทบาทอีกครั้งหนึ่ง ต้องให้ความรู้แก่เด็กเกี่ยวกับเรื่องเพศที่เรียกว่าเพศศึกษา”
“ แต่มันพูดยากนะลุง   เรื่องพวกนี้ ”
“ ใช่  มันยากหากเรามองว่ามันเป็นเรื่องเพศสัมพันธ์หรือเรื่องการร่วมเพศ  การพูดถึงเรื่องเพศศึกษาไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าอายแต่กลับเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นและเป็นหน้าที่ของพ่อแม่และผู้ใหญ่ที่ต้องให้ความรู้แก่เด็ก  เราต้องพูดให้เด็กเข้าใจถึงปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับตัวเขาเพื่อที่เขาจะได้เตรียมตัวเตรียมใจรับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่เช่นนั้นแล้วเด็กอาจจะตกใจกลัวหรืออายที่จะยอมรับมันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กผู้หญิงที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสรีระมากและเห็นได้ชัดเจนกว่าเด็กผู้ชาย    เด็กผู้หญิงหลายคนเดินหลังค่อมเพราะอายหน้าอกตัวเองที่มันโตขึ้น   ไม่อยากให้ใครเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้จึงพยายามเดินค่อมตัวอำพรางไว้    บางคนก็รู้สึกปวดเกร็งหน้าท้องเวลามีรอบเดือนซึ่งโดยปกติแล้วก่อนการมีรอบเดือน  ร่างกายของเขาจะสร้างความพร้อมภายในผนังมดลูกเพื่อรองรับการเข้าไปฝังตัวของไข่ที่ได้รับการผสมกับเสปิร์มหลังจากมีเพศสัมพันธ์เพื่อให้ไข่นั้นพัฒนาเป็นทารกต่อไป แต่เมื่อไม่มีกระบวนการทางเพศสัมพันธ์ที่ก่อให้เกิดการปฏิสนธิ   ผนังมดลูกที่เตรียมไว้นั้นก็ไม่ได้ใช้งาน  ร่างกายก็จะขับผนังมดลูกออกมาเป็นของเสียเป็นเลือดประจำเดือน 

ตามปกติคนเราพอเห็นเลือดก็มักจะรู้สึกกลัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว  ไม่ว่าจะเกิดจากการถูกของมีคมบาดหรือการหกล้มก็ตาม    แต่นี่เลือดที่ออกมานั้นมันยังออกมาจากอวัยวะเพศซึ่งเป็นจุดที่มีความละเอียดอ่อนต่อความรู้สึกของจิตใจเป็นอย่างมากอยู่แล้ว   การที่ได้เห็นเลือดแดงๆ สดๆ ไหลออกมาเป็นครั้งแรกจึงสร้างความตกใจเป็นอย่างมากให้กับเด็กที่ไม่ได้รับการเตรียมตัวหรือการบอกกล่าวล่วงหน้ามาก่อน เด็กผู้หญิงบางคนอาจจะได้รับการบอกกล่าวล่วงหน้ามาแล้วถึงปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายของเธอ  แต่การบอกกล่าวนั้นเป็นการบอกกล่าวในเชิงลบเช่น   การมีประจำเดือนเป็นเรื่องที่สร้างความลำบากให้กับชีวิตลูกผู้หญิง  เป็นภาระ  เป็นสิ่งที่น่าอาย  เป็นความสกปรกเป็นเรื่องที่น่าขยะแขยงอะไรเหล่านี้   พวกเขาก็จะมีความกลัวมีความรังเกียจและความวิตกกังวลเป็นทุน    พอถึงเวลามีรอบเดือนหรือใกล้ที่จะมี    เด็กที่ไม่สามารถทำใจให้ยอมรับได้ก็จะเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้องเพื่อที่จะต่อต้านการไหลออกมาของเลือดซึ่งอาการเกร็งนี้เขาจะทำอย่างไม่รู้สึกตัว   มันเป็นการทำงานของจิตใต้สำนึก  แม้ว่าจะเกร็งเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมหยุดไหล  อาการเกร็งนั้นจึงได้เพิ่มมากขึ้นตามความรู้สึกต่อต้านที่เพิ่มมากขึ้นตลอดเวลาที่มีเลือดไหลออกมา  จนกลายเป็นความเจ็บปวดทุกครั้งที่มีรอบเดือน   เรื่องนี้มันเป็นการทำงานของจิตใต้สำนึกจึงทำให้ไม่มียาใดที่จะรักษาอาการปวดประจำเดือนให้หายขาดได้   มีแต่ยาบรรเทารักษาตามอาการคือลดการเกร็งของกล้ามเนื้อภายในเท่านั้น”
“ แล้วทีนี้ต้องทำอย่างไรหละค๊ะ   หนูเห็นเพื่อนบางคนเวลามีรอบเดือนเขาจะปวดมาก  อารมณ์เสียหงุดหงิดเป็นประจำ  ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขาเลยค๊ะ  หนูเห็นเขาปวดแล้วรู้สึกว่ามันทรมารมาก ”
“วิธีการนั้นมีหลายอย่างทั้งการป้องกันและการแก้ไข   ทีนี้เราต้องมาดูเรื่องการป้องกันก่อน

วิธีการป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดรอบเดือนขึ้นมาในผู้หญิงก็คือ ตอนเป็นเด็กก่อนที่จะมีรอบเดือนผู้ใหญ่ต้องให้ความรู้ที่ถูกต้อง  สิ่งที่ให้กับเด็กนั้นต้องเป็นข้อมูลความจริง ต้องให้เด็กรับรู้ว่านั่นเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติของร่างกายที่ต้องเกิดขึ้นกับผู้หญิงทุกคนและต้องให้ฟังแล้วแทนที่จะทำให้เกิดความรู้สึกกลัวก็ทำให้เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจโดยบอกว่านั่นคือสัญญาณที่บ่งบอกว่าเธอโตเป็นสาวแล้ว   เธอมีสุขภาพที่สมบูรณ์   คนที่มีสุขภาพสมบูรณ์เท่านั้นจึงจะมีรอบเดือนได้   การมีรอบเดือนบ่งบอกให้รู้ว่าเธอพร้อมที่จะมีทายาทไว้สืบสกุลแล้ว หากต่อไปข้างหน้าเมื่อถึงเวลาแต่งงานก็สามารถที่จะมีบุตรได้   การมีบุตรให้กับสามีได้นั้นเป็นความภาคภูมิใจของลูกผู้หญิงทุกคน  ลูกผู้หญิงต้องภูมิใจที่มีรอบเดือน   การมีรอบเดือนไม่ได้เป็นเรื่องของความสกปรกแต่เป็นเรื่องของความสะอาดเธอต้องคอยระวังและรักษาความสะอาดให้ดีเพื่อป้องกันการติดเชื้อจากเชื้อโรคต่างๆ ต้องไม่ให้เกิดความหมักหมมและอีกอย่างหนึ่ง   เราเป็นผู้หญิง  การจะทำอะไรก็ต้องให้เรียบร้อยไม่ให้ใครตำหนิได้ในเรื่องนี้   ผ้าอนามัยที่ใช้แล้วก็ต้องพับแล้วห่อให้ดีก่อนนำไปทิ้งอย่าปล่อยไว้ในห้องหรือทิ้งเรี่ยราดมันจะกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคและเป็นตัวนำหนูเอย  แมลงสาบแมลงวันเอยเข้ามาในบ้านในห้อง

การมีรอบเดือนใหม่ร่างกายยังไม่สามารถปรับตัวได้จึงทำให้การมีรอบเดือนของแต่ละเดือนไม่ค่อยตรงกับวันที่เคยมาของเดือนก่อน  ต้อง เตรียมผ้าอนามัยไว้ล่วงหน้าและเตรียมให้เพียงพอ  หากมีไม่พอก็ไม่ต้องอายที่จะไปหาซื้อมาเพิ่ม  คนที่โตเป็นสาวแล้วเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ใช้   ตรงนี้เราก็ต้องภูมิใจว่าเราไม่ได้เป็นเด็กอีกต่อไปแล้ว

ช่วงที่รอบเดือนมาก็อย่าทำอะไรโลดโผนหรือทำงานที่ต้องออกแรงมากๆ เพราะร่างกายในช่วงนี้กำลังสูญเสียเลือดและอยู่ในภาวะที่อ่อนแอ   การใช้กำลังกายมากๆ หรือการที่ต้องโดนแดดโดนฝนหรืออยู่ในที่ไม่ค่อยสะอาดเป็นเวลานานๆ ร่างกายอาจไม่สามารถปรับตัวหรือสร้างภูมิต้านทานได้ทันอาจจะติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อไวรัสบางอย่างทำให้เกิดอาการเป็นไข้ตัวร้อนที่เรียกว่าไข้ทับละดูขึ้นมาได้ หากเป็นไข้แล้วมันจะมีผลกระทบต่อร่างกายมากและใช้เวลานานกว่าที่จะฟื้นตัวเป็นปกติอีกครั้ง

การให้ข้อมูลเช่นนี้จะเป็นการเตรียมตัวและเป็นการป้องกันอาการปวดประจำเดือนในผู้หญิงได้เป็นอย่างดี   สำหรับคนที่เป็นแล้วก็สามารถใช้ยาช่วยลดอาการเกร็งและอาการปวดได้เป็นครั้งๆ ไปนอกจากนี้ก็ยังมีวิธีการทางจิตวิทยาที่เรียกว่าการทำจิตบำบัดเข้าช่วย   ซึ่งวิธีการนี้สามารถช่วยให้หายขาดได้แต่ก็ไม่ทุกรายไปทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพยายามและความร่วมมือของเจ้าตัวเขาเองเป็นหลัก”
“แล้วนักจิตบำบัดที่ว่านั้นอยู่ที่ไหนบ้างคะ”
“ นักจิตบำบัดส่วนใหญ่จะทำงานอยู่ในโรงพยาบาลแผนกสุขภาพจิต หรือไม่ก็ตามคลีนิคเอกชนต่างๆ ส่วนจะอยู่ตรงไหนและเป็นใครบ้างนั้นก็ต้องลองไปถามที่โรงพยาบาลจึงจะรู้”

“แล้วเด็กผู้ชายละครับ นี่ผมก็ชักจะลืมไปแล้วว่าผมมีพัฒนาการอย่างไร”
“ เรื่องของเด็กผู้ชายนั้นไม่ค่อยซับซ้อนเท่าไหร่ในด้านพัฒนาการทางกายแต่มันจะซับซ้อนทางด้านจิตใจเสียมากกว่า  แต่ก็ยังผิดกับเด็กผู้หญิงที่มีความละเอียดอ่อนกับเด็กผู้หญิงเราต้องค่อยๆ พูดค่อยๆอธิบายเพื่อให้เกิดการยอมรับอย่างจริงจัง  ส่วนเด็กผู้ชายนั้นพวกนี้มันทะลึ่งไปตามวัย พวกขาโจ๋ทั้งหลายมันอยากเป็นหนุ่มเร็วๆ ในใจมันไม่มีอะไรมันคิดแต่เรื่องอึบๆๆ แล้วก็อึบๆๆ เพราะผู้ชายมันง่ายกว่าผู้หญิง มันเป็นค่านิยมที่แก้ไขยากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมที่ยังมีการขายบริการทางเพศและตราบใดที่ผู้ใหญ่มีเมียหลายคนยังได้รับการยอมรับและมองว่าเป็นความสามารถพิเศษ   ซึ่งมันก็เป็นมาแต่ไหนแต่ไรแล้วลองดูอย่างในวรรณกรรมต่างๆ ของไทยเรานับตั้งแต่รามเกียรติ์มาเลยตัวละครแต่ละตัวเห็นไหมมีเมียเยอะแย่งเมียชาวบ้านแล้วก็ทะเลาะกันฆ่ากันหรือไม่ก็ต้องไปฟ้องพระอิศวรให้ตัดสิน  พระอิศวรนี้ก็เหมือนกันดูซิสุดท้ายเมื่อทุกอย่างสงบลงทศกรรณตายยังประทานเมียให้หนุมานตั้งสามพันแนะ หรืออย่างขุนช้างขุนแผนเป็นไง   ขุนแผนมีเมียกี่คน...ห้าคน...ไปที่ไหนก็มีเมียที่นั่นแต่สุดท้ายก็กลับมาตายรังกับนางวันทองสองใจ... นางวันทองสองใจสุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครได้จริงๆ นางต้องตายด้วยอาญาโทษฐานหลายใจสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ ”

ปรีชาหยุดพูดไปชั่วขณะเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ  สายตาของเขามองออกไปข้างหน้าในความมืดแต่ในความมืดนั้นน่าจะมีตัวละครบางตัวที่สะท้อนออกมาจากห้วงลึกของจิตใจของเขากำลังโลดแล่นอยู่
หนุ่ยกับดาที่กำลังฟังปรีชาเล่าเรื่องต่างๆ อย่างใจจดใจจ่อจ่ออยู่นั้นเมื่อเห็นปรีชาเงียบไปก็ได้แต่มองหน้ากันและเหมือนกับจะรู้ว่าปรีชากำลังคิดอะไรอยู่ทั้งสองจึงไม่ได้พูดอะไรคงได้แต่รอและมองหน้ากันไปมาอยู่เงียบๆ
ในท่ามกลางความเงียบนั้นทั้งสามคนไม่ได้พูดคุยกันแต่ก็ไม่วายที่จะคิดถึงเกี่ยวกับกันและกันอยู่เงียบๆ
ดาเอื้อมมือไปจะหยิบขวดไวน์มาเติมในแก้วของเธอแต่ก็เห็นว่าไวน์ในขวดนั้นหมดแล้วเธอจึงมองหน้าหนุ่ยแล้วชี้ไปที่ขวดไวน์พร้อมกับพลิกมือไปมาทำท่าบ๋อแบ๋ให้หนุ่ยรู้ว่าไวน์หมดแล้วและเธอก็ชี้นิ้วชี้น้อยๆ อันเรียวงามของเธอไปยังทิศทางห้องครัวพร้อมกับพยักหน้าเพื่อให้หนุ่ยเป็นคนไปเอาไวน์ขวดใหม่มา
หนุ่ยจึงขยับเก้าอี้ลุกขึ้นเพื่อจะไปหยิบไวน์ จังหวะที่มีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นนั้นเองปรีชาก็ได้สติกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เขาหันมามองหนุ่ยที่กำลังลุกขึ้น
“ ผมกำลังจะไปหยิบไวน์ครับ ”
“เออ..ๆ..เอาซิ..ไปเอามาเลย” ปรีชาโพล่งออกไปโดยที่ไม่ต้องคิดพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบไปน์ขึ้นมาจุดสูบราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หนุ่ยกลับมาพร้อมขวดไวน์เย็นๆ ก็รินใส่แก้วให้ปรีชาและดาแล้วทุกคนก็ยกแก้วของตนขึ้นมาดื่มราวกับนัดกันไว้ 

“อึ..อึ..อือ..อื้อ..” ดูเหมือนว่าปรีชาชักจะกลืนไวน์ไม่ลงคอ  คงมีบางส่วนทะลักเข้าไปในหลอดลมจนเขาต้องกระแอมมันออกมา
“คนเราพออายุมากแล้วอะไรๆ มันก็แย่ไปหมดสำลักได้แม้กระทั่งไวน์” ปรีชาเปรือยขึ้นมาโดยไม่ได้หวังคำตอบใดๆ
“คุณลุงครับเมื่อกี้ผมเห็นคุณลุงเงียบไป”
“อ๋อ..ไม่มีอะไร คิดอะไรเพลินไปหน่อย...เออ..เราพูดถึงไหนกันแล้วหละ”
“ถึงเรื่องพัฒนาการทางเพศของเด็กผู้ชายครับ ของเด็กผู้หญิงเราพูดกันแล้วแต่ของเด็กผู้ชายคุณลุงบอกว่ามันซับซ้อนทางด้านจิตใจครับ”

“ เออ..เออ..ไอ้ความจริงมันก็ไม่ซับซ้อนเท่าไหรหรอกเพียงแต่มันมีแม่แบบทางสังคมที่ผิดๆ แล้วก็จดจำกันแบบฝังจิตฝังใจ อีกอย่างแม่แบบเหล่านั้นมันก็ไม่หมดไปจากสังคมแถมบางครั้งสื่อต่างๆ เช่นวงการโทรทัศน์ก็ยังหยิบเอามาเป็นจุดขายสร้างละครเป็นเรื่องๆ มอมเมาผู้คนให้หลงไปกับค่านิยมที่ผิดๆ แม้ว่าพวกเขาจะสร้างเนื้อหาในตอนท้ายให้เห็นว่าสุดท้ายแล้วใครทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว แต่มันไม่มีใครสนใจเพราะมันไม่สะใจในอารมณ์  สู้ตอนกลางๆไม่ได้ที่มีการหลอกลวง  ซ่อนเงื่อน  ชิงไหวชิงพริบ   ชิงนาง  สุดท้ายก็ลงที่ข่มขืนแล้ว  ตบกัน  ชกกัน  ยิงกันสนั่นจอ   อย่างนั้นมันมีความสะใจมากกว่าแล้วความสะใจที่ว่ามันก็ซึมลึกเข้าไปในจิตใจอย่างไม่รู้ตัวจนดูเหมือนว่ามันเป็นเรื่องปกติที่จะต้องเป็นเช่นนั้น   ซึ่งความจริงไม่ใช่  พุทธศาสนาไม่ได้สอนให้เป็นอย่างนั้นนั่นมันเป็นมายา  มันเป็นเสี้ยวหนึ่งของความเถื่อนของมนุษย์ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกฎหมายและศาสนา   

ดังนั้นในช่วงของพัฒนาการวัยรุ่น โดยเฉพาะวัยรุ่นชายเราจะต้องประคับประคองให้ดี  สอดใส่ค่านิยมที่ถูกต้องให้กับพวกเขาเพราะเด็กวัยนี้กำลังมองหาแม่แบบ  มองหาที่พึ่งทางใจ  มองหาบุคคลในอุดมคติ  มองหาแนวทางในการดำเนินชีวิตในทุกๆ ด้าน  พวกนี้จะเริ่มตั้งแต่อายุสิบเอ็ดสิบสองปีมาเลย   เพราะช่วงนี้เด็กผู้ชายเริ่มคบเพื่อนและเริ่มแสดงออกถึงความเป็นชายของพวกเขา    อยู่โรงเรียนก็จับกลุ่มคุยกันแต่เรื่องกีฬาบ้าง   ผู้หญิงบ้าง  ลำพังคุยกันเรื่องกีฬาไม่เป็นไรหรอกแต่มันมักจะวกเข้าหาเชียร์หรีดเดอร์สาวๆ ที่เป็นรุ่นพี่ที่มีเครื่องเคราอึ๋มๆ กันแล้ว   เวลาคุยกันก็คุยกันแบบเห็นภาพอย่างกับว่าพวกเขาจับสาวๆ มาแก้ผ้ากลางวงสนทนากันเลยแหละ   แล้วพวกหัวโจกขาโจ๋ทั้งหลายก็จะสาธยายถึงกรรมวิธีต่างๆให้เพื่อนฟังว่ามันจะทำอย่างไรบ้างทั้งๆ ที่มันยังไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้วเขาทำอย่างที่มันพูดกันหรือเปล่า  ส่วนใหญ่ก็เล่าต่อๆ กันมา   อย่างพวกขาโจ๋เนี่ยมันคบเพื่อนต่างรุ่น   พวกนี้มันมีลูกพี่ที่เรียนอยู่ชั้นที่สูงกว่ามีประสบการณ์มากกว่าแล้วมันก็ได้ยินและจำขี้ปากพวกลูกพี่มันมาเล่าต่ออีกที   ต้องไปดูเวลาพวกมันเล่า  มันจะขึ้นไปนั้งบนโต๊ะเอาเท้าวางไว้บนเก้าอี้ หรือไม่ก็ยืนขาเดียวอีกขาหนึ่งยกขึ้นไปเหยียบเก้าอี้  แล้วทำมือทำไม้ประกอบเรื่องให้มันออกรสชาดจนพวกที่นั่งล้อมวงฟังอยู่นั้นน้ำลายยืดไม่รู้ตัวกันเลยแหละ  เด็กผู้ชายวัยนี้ร่างกายมันเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด  เริ่มตั้งแต่ตัวยืดสูงขึ้นเก้งก้าง  นมตั้งเต้าแตกพาน   เสียงแตกห้าว  เริ่มเป็นสิว  หนวดเคราเริ่มขึ้น เจี้ยวเริ่มเปิดไอ้หนังที่มันหุ้มความเป็นชายไว้มันเปิดออกให้เจี้ยวรู้จักรับสัมผัสกับความเสียวซึ่งไม่ใช่เสียวไส้น่ากลัวอะไรทำนองนั้น  แต่เป็นความเสียวกระสันที่มันสัมผัสได้แล้วส่วนใหญ่เด็กผู้ชายก็จะเสียตัวให้กับแม่นางทั้งห้าก็ในวันเปิดโลกนี่แหละ”
“อะไรหรือคะคุณลุงที่ว่าแม่นางทั้งห้า” ดาถามด้วยความไม่เข้าใจ
“เอ้า..หนุ่ยไหนอธิบายซิ..ดาเขาไม่รู้จักแม่นางทั้งห้า”
หนุ่ยทำท่าเหนียมอายนิดหน่อยเมื่อถูกโยนบทตรงๆ แบบนี้
“ก็นี่ไง” หนุ่ยยกมือกางนิ้วทั้งห้าให้ดาดู
“แล้วยังไงหละ มันเกี่ยวข้องกันยังไง”
“โธ่...ไม่เข้าใจจริงหรือดา..ก็นี่ไง” หนุ่ยกำมือหลวมๆ ขยับขึ้นลงในอากาศให้ดาดูอีก
“ ก็ทำมาสเตอร์เบสไง หนุ่ยหมายถึงสำเร็จความใคร่นะ”
“อะไรกันพวกผู้ชายนี่ ทำกันตั้งแต่เด็กเลยหรือ”
“ไม่เด็กแล้วนะ   สำหรับพวกผู้ชายนะ  พวกเขาคุยกันก่อนหน้านี้มานานแล้วเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้    ข้อมูลมันมีให้ได้ยินกันอยู่บ่อยๆ เพียงแต่รอเวลาให้วันนั้นมาถึง   แล้วพวกนี้ก็จะถึงบางอ้อและติดใจในรสชาติของมัน  ทีนี้ก็เป็นปัญหาในครอบครัวอีกเพราะพวกเขาจะถือโอกาสตอนอาบน้ำเลยอาบน้ำกันนานเป็นชั่วโมงๆ ปล่อยให้คนที่อาบทีหลังต้องรอ   แล้วก็เอามาล้อกัน    ส่วนใหญ่จะล้อก็ล้อไปไม่มีใครเห็นไม่มีใครจับได้  หรือไม่ก็คิดเสียว่าใครๆ ก็ทำกันทั้งนั้น   ซึ่งก็จริงของเขาเด็กผู้ชายทำกันทุกคนเรื่องสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองเนี่ย    คนไหนไม่ทำก็ถือว่าค่อนข้างผิดปกติ”
“แล้วมันไม่ผิดหรือคะที่ทำเรื่องอย่างนี้”
“ไม่ผิดหรอก   มันเป็นเรื่องธรรมชาติ   เมื่อร่างกายมันพร้อมจิตใจมันต้องการมันก็ต้องหาทางออก  ถ้าไม่ทำอย่างนั้นพวกเขาก็จะต้องรอให้มันออกมาเองกับความฝัน  ส่วนใหญ่ก็จะฝันว่ามีกิจกรรมทางเพศหรือกำลังจะมีกิจกรรมทางเพศกับผู้หญิงแล้วมันก็ออกมาเอง  ที่พวกผู้ชายเรียกกันว่าฝันเปียกไง แล้วมันก็เปียกเลอะเทอะจริงๆ และไม่ได้อารมณ์แถมน่าอายอีกด้วยที่กางเกงเลอะเทอะอย่างนั้น สู้ทำเองไม่ได้ เสร็จแล้วก็ทำความสะอาดซะทีเดียวไม่ต้องมีร่องรอยอะไรให้ใครเขาประจานได้ 

เด็กวัยนี้มันแข็งแรง ฟิตเปรี๊ย บางคนถ้ามีเวลาว่างหรืออยู่บ้านคนเดียวอาจจะทำวันละสองสามครั้งเลยหละ   ทีนี้เราก็ต้องให้ความรู้พวกเขาว่าพวกเขานั้นเป็นผู้ชายเต็มตัวแล้ว   เมื่อร่างกายสามารถผลิตอสุจิได้แบบนั้นก็เท่ากับว่าพร้อมที่จะสืบเผ่าพันธุ์ได้แล้ว     ถ้าสังคมไทยเป็นแบบสมัยก่อนที่เป็นสังคมการเกษตรเต็มรูปแบบนั้นผู้ชายวัยนี้ก็เริ่มมีเมียกันได้แล้ว   ต้องออกไปทำมาหากินในท้องไร่ท้องนาช่วยเหลือครอบครัวทำมาหากินแล้วก็ไปพบรักกับหญิงสาวที่ทำงานในท้องนาด้วยกัน   พากันไปจู๋จี๋กระหนุงกระหนิงหลังกองฟางเหมือนที่บรรยายไว้ในบทละครหรือบทเพลงที่มีไอ้ขวัญกับอีเรียมไง  ที่ในเพลงมันร้องว่า “....เรียมเหลือทนแล้วนั่น ขวัญของเรียม...” อะไรทำนองนั้นแล้วก็จบด้วยตอนที่ว่า “...เช้า..สาย..บ่าย..เย็น ขวัญลงเล่นกับเรียม...” ไง เคยได้ยินกันใช่ไหมหละ  ที่ไอ้ขวัญกับอีเรียมชวนกันลงไปเล่นในน้ำสี่เวลาเลยหนะ   แต่นั่นมันเป็นสมัยก่อน   เดี๋ยวนี้จะทำแบบนั้นก็ไม่ได้ ทุกคนต้องเรียนหนังสือ  มันเป็นโลกแห่งเทคโนโลยี  เป็นโลกยุคโลกาภิวัฒน์ที่ทุกคนต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเฉพาะสาขาเพื่อใช้ในการประกอบอาชีพ   เวลาสอนเด็กเราก็ต้องให้เขาตระหนักความจริงเหล่านี้   และมันยังไม่ถึงเวลาที่พวกเขาจะมีครอบครัว พวกเขาต้องช่วยเหลือตัวเองไปก่อนและในการช่วยเหลือตัวเองนั้นมันไม่ได้มีอะไรผิด  ตรงกันข้ามมันกลับเป็นสิ่งที่ดีเสียอีกที่พวกเขาทำได้จะได้ไม่ต้องไปเสี่ยงข้างนอก   เสียเงินยังไม่พอยังต้องเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่างๆ   เดี๋ยวนี้เชื้อโรคมันแรง  ถึงแม้ว่ามันจะไม่ตายทันทีแต่ก็เหมือนตายนั้นแหละ 

การที่เด็กสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองนี้ก็มีข้อเสียบ้างเหมือนกันคือบางทีพวกเขาอาจจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้บางคนถึงกับคอยเวลาที่ไม่มีใครอยู่บ้านอย่างใจจดใจจ่อเลยแหละ   ถ้าอย่างนั้นมันก็มากไป และเราต้องสอนพวกเขาให้รู้จักจินตนาการรู้จักการรอคอย  รู้จักอดทน ผมหมายถึงเวลาที่พวกเขาสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองนั้นเราต้องสอนเทคนิคการจินตนาการให้พวกเขา   พวกเขาต้องรู้จักเก็บเกี่ยวความรู้สึกที่ดีๆ จะได้ไม่รู้สึกผิด สอนพวกเขาให้รู้จักอดทนไม่ใช่ว่ารีบทำๆๆๆ เพื่อที่จะให้สำเร็จ    ให้พวกเขารู้จักชะลอการหลั่งไม่ให้หลั่งเร็วหรือหลั่งในเวลาอันสั้นเพราะรีบ   ถ้าพวกเขารีบทำๆๆๆ..แบบนั้นมันจะติดเป็นนิสัยการหลั่งเร็ว   ทีนี้เวลาแต่งงานมีเมียเข้าจริงๆ มันก็จะเกิดอาการหลั่งเร็วที่เรียกกันว่านกกระจอกยังไม่ทันกินน้ำก็เสร็จแล้ว มันจะเกิดปัญหาครอบครัวตามมาอีกเพราะฝ่ายหนึ่งเสร็จแต่อีกฝ่ายยังไม่ได้เริ่มต้นมันก็แย่มันไม่แฟร์กับฝ่ายหญิงเขา   
สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของเด็กวัยนี้ก็คือพวกเขาต้องเรียนรู้วิธีการป้องกันตนเอง  ต้องไม่ปล่อยตัวปล่อยใจให้เผลอไผลไปมีเพศสัมพันธ์กัน  ต้องให้พวกเขาตระหนักว่าสิ่งนี้ต้องเก็บไว้จนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสมเราจะต้องช่วยกันสร้างค่านิยมนี้ให้เกิดขึ้นในใจเด็กให้ได้  ไม่เช่นนั้นแล้วมันก็จะกลายเป็นสังคมสำส่อนไร้คุณค่า  แต่ทุกวันนี้เราไม่ได้ทำกันอย่างจริงจังในเรื่องนี้โดยเฉพาะพวกดาราหรือพวกที่อยู่ในวงการบันเทิงที่เยาวชนทั้งหลายยึดเป็นแม่แบบกลับทำตัวเสียเองมันก็เลยเป็นค่านิยมที่ผิดๆ ไป  แล้วก็ต้องหันมาให้ความรู้เรื่องการคุมกำเนิดแทน   คงจะพอเข้าใจกันนะเกี่ยวกับพัฒนาการในวัยเด็กตามความคิดของฟรอยด์”....(10)

1 ความคิดเห็น:

  1. แล้วอิทธิพลของสังคม สิ่งแวดล้อมมีผลต่อบุคลิกภาพของคนหรือไม่ เมื่อเด็กมีฤติกรรมเปลี่ยนไปเมื่อโตขึ้น จะสามารถแก้ไขได้หรือไม่ อย่างไร

    ตอบลบ