วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554

study ครูพักลักจำ






วันนี้จะขอเป็นครูภาษาไทยสักวัน เพราะได้ยินได้เห็นมานานแล้วว่ามีการใช้กันผิดๆแม้แต่สื่อมวลชนทั้งหลายที่ต้องใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการสื่อสารก็ยังใช้กันผิดๆ ใช้กันโดยที่ไม่ได้คิดถึงหลักความจริง ไม่ได้คิดถึงความเป็นไปได้ แต่ก็ใช้กันอยู่แทบทุกเมื่อเชื่อวัน


ลองคิดดูว่า “ครูพักลักจำ” มันเป็นไปได้หรือไม่ว่าเวลาที่ครูท่านไปพักผ่อนแล้วเราจะลักจำ ขอถามหน่อยว่าจะลักจำอะไร เสียงกรนของครู   หรือว่าท่านอนขอครู   เวลาพักของครู  หรือมีใครรู้บ้างว่าจะไปลักจะอะไรได้เพราะครูท่านไปพักแล้ว    จะมีเหลือก็แต่ศิษย์ทั้งหลายที่นั่งกันหน้าสลอนคอยเวลาครูตื่นจะได้เรียนกันต่อไป   หรือไม่ก็มีบ้างที่ฝึกซ้อมวิชาตามที่ครูท่านได้สอนไปก่อนหน้าที่ท่านจะไปพัก ทีนี้ก็ทำผิดบ้างถูกบ้าง ลืมไปบ้างว่าครูสอนไว้ว่าอย่างไรก็ต้องลองกันอย่างถูกๆ ผิดๆ ไปตามประสาแล้วจะมีอะไรที่ให้ลักจำเอามาเป็นประโยชน์ได้   ขึนจำมาก็จำได้แต่ที่ถูกๆ ผิดๆ มันจะมีประโยชน์อะไร วิชาการที่ได้สืบทอดกันมาก็มีแต่จะเสื่อมลงไปเรื่อยๆเพราะครูพักลักจำแล้วก็หาว่าตนนั้นจำได้หมดแล้ว เรียนรู้หมดแล้ว เก่งแล้ว



มันเป็นความผิดเพี้ยนก็เพราะครูพักลักจำนี้แหละ    ครูพักลักจำมันเป็นความเพี้ยนของภาษาแต่ก็ไม่ได้มีใครสืบหาที่มาให้แน่ชัดว่าเดิมของมันคืออะไรส่วนใหญ่ก็จำขี้ปากเขามาพูดเพราะเห็นว่ามันคล้องจองกันดี   พูดไปแล้วก็เหมือนว่าเป็นคนมีวาทะศิลป์   อันที่จริงเปล่าเลย...


ครูพักลักจำที่จริงแล้วมันมาจากคำว่า “ครูทักลักจำ” เพราะในสมัยก่อนนั้นหรือในสมัยนี้ก็ตาม    การเรียนหนังสือหรือเรียนวิชาอะไรคนเราก็มักจะไปเรียนกับครูที่มีความเชี่ยวชาญหรือมีความชำนาญในศาสตร์นั้นๆ    ดังนั้นครูคนเดียวจึงต้องสอนศิษย์ทีเดียวพร้อมกันหลายๆคนและศิษย์แต่ละคนก็มีทักษะในการเรียนรู้ต่างกัน    บางคนสมาธิดีสามารถจดจำสิ่งที่ครูสอนได้ในเวลาอันรวดเร็วเหมือนบัวที่โผล่พ้นน้ำ บางคนสมาธิไม่ดีจำไม่เก่งครูต้องคอยสอนซ้ำจึงจำได้เหมือนบัวที่ปริ่มน้ำ    บางคนก็พิเรนไม่ทำตามที่ครูสอนอาจจะพลิกแพลงนอกเหนือตำราครูก็ต้องคอยตบคอยแต่งให้เข้าที่เข้าทางเหมือนบัวที่ชอนไชอยู่กลางน้ำ    บางคนสมาธิไม่ดีมีปัญญาทึบครูต้องคอยจ้ำจี้จ้ำไชหลายครั้งให้พอได้รู้บ้างเหมือนบัวที่อยู่ในตม     บางคนช่างคิดซ่างสงสัยช่างถามโน่นถามนี้เหมือนนกแก้วนกขุนทองให้ครูต้องคอยตอบคำถามอยู่ตลอด    

ในบรรยากาศการเรียนรู้เช่นนี้แหละที่มักจะมีแนวคิดเล็กๆ น้อยๆ เคล็ดลับความรู้ต่างๆที่ครูท่านบอกท่านแนะท่านสอนลูกศิษย์ประเภทต่างๆที่นั่งเรียนกันอยู่    กว่าครูท่านจะสอนให้ศิษย์แต่ละคนเก่งได้เหมือนกันหมดครูก็คงหมดลมไปก่อน   หรือไม่หากศิษย์แต่ละคนจะรอให้ครูมาสอนมาตอบคำถามมาแนะมานำให้เกิดความรู้ความเข้าใจก็อาจจะต้องรอไปอีกนานกว่าครูจะวนมาถึงตน   หรือบางทีเราอาจจะไม่ใช่ศิษย์รักศิษย์โปรดที่ครูจะได้มาเอาใจใส่เราเป็นพิเศษเราจึงต้องคอยเงี่ยหูฟังว่าครูท่านสอนท่านทักคนอื่นว่าอย่างไรบ้างแล้วเอามใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ตน   จึงได้เกิดคำพูดให้ศิษย์รู้จักใช้ไหวพริบปฏิพานในการเรียนรู้โดยไม่ต้องรอให้ครูมาถึงตนและคำๆนั้นก็คือ “ครูทักลักจำ” หมายความว่าเวลาที่ครูท่านทักท่านท้วงศิษย์คนอื่นที่ทำผิดทำเพี้ยนแล้วท่านแนะท่านนำให้ทำในสิ่งที่ถูกที่ต้อง เราก็ต้องรู้จักจดจักจำเอามาใช้เอามาทำ    เมื่อรู้ว่าอะไรผิดก็หลีกก็เลี่ยงไม่ต้องเสี่ยงทำไปให้เสียเวลา การรู้จักใช้ไหวพริบปฏิพานในการเรียนรู้เช่นนี้จะทำให้เราเรียนรู้ได้เร็วและประสบความสำเร็จได้ในเวลาไม่ช้า    และสามารถรู้ได้ในสิ่งที่ไม่ต้องมีครูมาบอกมาสอนตรงๆ    เพราะอาศัยว่าเวลาครูท่านทักคนอื่นเราก็ลักจำเอามาใช้เป็นวิชาครูทักลักจำ


หากเข้าใจความหมายตรงกันดีแล้วทีนี้เวลาจะใช้คำนี้ก็ขอให้ใช้กันให้ถูก “ครูทักลักจำ” “ครูทักลักจำ” “ครูทักลักจำ” “ครูทักลักจำ” “ครูทักลักจำ” “ครูทักลักจำ” “ครูทักลักจำ”



...อายุ วรรโณ สุขัง พะลัง...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น