“ คุณลุงครับผมได้ยินคุณลุงพูดคำว่าจิตสำนึกกับจิตใต้สำนึก หลายครั้งแล้วแต่ผมก็ยังไม่เข้าใจในความหมายจริงของมันครับ มันเป็นอย่างไรหรือครับ ”
“ เกี่ยวกับเรื่องนี้เราก็ต้องอ้างคำอธิบายของปรมาจารย์ซิกมันด์ ฟรอยด์ อีก ท่านอธิบายว่าจิตของคนเราแบ่งออกเป็นสามระดับ คือระดับจิตสำนึก จิตใต้สำนึกและระดับจิตไร้สำนึก โดยท่านได้เปรียบจิตทั้งสามส่วนนี้กับภูเขาน้ำแข็งที่ลอยอยู่ในทะเลซึ่งนับว่าเป็นการเปรียบเทียบที่ชาญฉลาดจริงๆ จิตสำนึกเปรียบได้กับน้ำแข็งส่วนที่ลอยโผล่พ้นน้ำขึ้นมาและส่วนที่จมอยู่ในน้ำนั้นคือส่วนของจิตใต้สำสึกและจิตไร้สำนึกรวมกัน ซึ่งจิตใต้สำนึกและจิตไร้สำนึกนี้เรามักจะเรียกรวมๆกันว่าจิตใต้สำนึก มองจากผิวน้ำทะลุลงไปเห็นถึงไหนนั่นคือส่วนที่เป็นจิตใต้สำนึกถัดจากนั้นลงไปเป็นส่วนที่มืดดำมองไม่เห็นคือส่วนของจิตไร้สำนึก
ธรรมชาติของน้ำแข็งนี้เวลาที่ลอยอยู่ในน้ำ มันจะไม่ลอยปริ่มน้ำ มันจะโผล่เศษหนึ่งส่วนสิบของมันขึ้นมาเหนือน้ำและอีกเก้าส่วนจะจมอยู่ใต้น้ำไม่ว่ามันจะก้อนใหญ่แค่ไหนก็ตามเวลาลอยอยู่ในน้ำมันก็จะแสดงสัดส่วนออกมาไม่ต่างจากนี้ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมันมีค่าความถ่วงจำเพาะที่น้อยกว่าน้ำ ภูเขาน้ำแข็งก้อนใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการสำรวจมามีความยาวประมาณ 333 กิโลเมตรกว้างประมาณ 100 กิโลเมตร ส่วนก้อนที่มีความสูงจากพื้นน้ำมากที่สุดก็ประมาณ 45 เมตร แล้วถ้ารวมกับส่วนที่จมอยู่ในน้ำอีกลองคิดดูว่ามันจะก้อนมหึมาขนาดไหน นี่คือสิ่งที่ฟรอยด์ท่านเปรียบให้เห็นว่าจิตสำนึกกับจิตใต้สำนึกนั้นมันมีสัดส่วนที่ต่างกันอย่างไร
จิตสำนึกในความหมายของฟรอยด์ก็คือจิตรู้ของคนเราในขณะที่ตื่นอยู่ ที่เราสามารถรับรู้ได้ถึงความเย็นร้อนอ่อนแข็ง รูปทรงสันฐาน สีสรรตำแหน่งวางตั้ง ความถูกความผิด ความดีความชั่ว ทั้งหลายทั้งปวงที่ประสาทสัมผัสและสมองสามารถรับรู้ได้ ตลอดจนความรู้สึกนึกคิดที่เป็นไปในปัจจุบันขณะในส่วนที่เรียกว่าความรับผิดชอบไม่ว่าจะต่อหน้าที่ ต่อสังคม ต่อสิ่งแวดล้อม ต่อครอบครัวและต่อตนเอง เช่น ผมรู้สึกว่าตอนนี้อากาศเย็น มีลมพัดอ่อนๆ มาสัมผัสที่ผิวหนังและใบหน้า ผมจึงติดกระดุมเสื่อเม็ดบนเพื่อคุมอุณหภูมิในร่างกายให้คงที่ก่อนที่ความเย็นจะทำให้ผมเป็นหวัดในวันรุ่งขึ้น บรรยากาศรอบๆตัวขณะนี้ปกคลุมไปด้วยความมืด มีแสงสว่างจากดวงไฟที่แขวนอยู่บนเสาไฟส่องลงมาที่พื้นเป็นเป็นหย่อมๆ ไม่กว้างนักพอหมดระยะแสงก็เป็นเงามืดสลับกับแสงสว่างของดวงไฟดวงถัดไป ผมพึ่งเห็นว่าหลอดไฟดวงที่สามดับไปพรุ่งนี้ต้องหาหลอดใหม่มาเปลี่ยนบริเวณนั้นจะได้ไม่มืดและมีความปลอดภัยเวลาเดิน จั๊กจั่น เรไรที่เกาะอยู่ตามต้นไม้ขยับปีกส่งเสียงดังคลอเคลียกับเสียงน้ำค้างที่หยดลงมากระทบกับใบไม้ดังเปาะแปะๆ พอหยดน้ำค้างร่วงจากหลังคาลงมากระทบใบสักแห้งที่พื้น ผมเห็นเขียดตัวน้อยตกใจกระโดดจากพื้นหญ้าขึ้นมาบนลานปูน การที่มีทั้งสัตว์ปีกและสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอยู่ในบริเวณบ้านมากมายอย่างนี้แสดงว่าระบบนิเวศภายในบ้านค่อนข้างสมบูรณ์เป็นผลมาจากการอนุรักษ์สภาพความเป็นธรรมชาติภายในบริเวณนี้ จมูกผมได้กลิ่นควันของยาเส้นที่กระจายออกมาจากไปน์ที่วางอยู่ข้างกระป๋องยาเส้นบนโต๊ะ ผมเอื้อมมือไปหยิบแก้วไวน์มาถือไว้ในมือผมรู้สึกถึงความเย็นของแก้วที่มีไวน์อยู่ในนั้นครึ่งหนึ่งกะว่าเดี๋ยวจะดื่มอีกสักอึกและตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกมึนๆ บ้างแล้ว คงจะต้อง ดื่มแก้วนี้เป็นแก้วสุดท้ายสำหรับคืนนี้ หากมากไปกว่านี้พรุ่งนี้ต้องมีแฮ้งค์และเสียเวลาไปกับมันอีกวัน
ขณะที่ผมพูดนี้มีหญิงสาววัยกลางคนชื่อวิภาดา หน้าตาสดสวยพวงแก้มสีชมพูระเรื่อนั่งตาปรือด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์อยู่ข้างๆ สามีหนุ่มชื่อหนุ่ยที่ผมลืมถามชื่อจริงว่าชื่อว่าอะไร หนุ่ยมีผิวสีแทนใบหน้ายาวรี ได้สัดส่วน หวีผมเป๋ คิ้วดกโค้งรูปสระอิ หนวดเคราขึ้นเป็นไรดำเหมือนไม่ได้โกนมาสองวันแล้ว ทั้งสองคนมาถึงที่นี่เมื่อเวลาประมาณบ่ายห้าโมงกว่าๆ ตอนนี้ทั้งสองคนกำลังนั่งฟังผมพูดเรื่องจิตสำนึกและจิตใต้สำนึกอยู่ วันนี้มีสปาเก็ตตี้เป็นอาหารมื้อเย็นและเป็นมื้อแรกที่เราทานร่วมกัน วิภาดาปรุงน้ำสปาเก็ตตี้ได้อร่อยมากแม้เธอจะบอกว่าเธอทำไม่เป็นแต่เมื่อทำไปชิมไปเธอก็เทียบเคียงรสชาดได้เหมือนกับรสชาดของร้านที่เธอเคยไปกินและจำได้ว่ามันมีความอร่อยอย่างไร
หนุ่ยจะไปฉี่ วิภาดาเห็นสบโอกาสจึงขอไปด้วยเพราะเธอกลัวผีไม่กล้าไปคนเดียวจึงรอไปพร้อมกับหนุ่ยด้วยคิดว่าหนุ่ยคงจะช่วยเธอได้ถ้าผีมา ขากลับนกเค้าแมวบินผ่านหลังคาส่งเสียงร้องทำให้วิภาดาตกใจ กลัวสิ่งที่อยู่ในความทรงจำที่คุณยายเล่าให้ฟังตอนเป็นเด็กๆ เธอกระโดดกอดคอหนุ่ยไว้แน่น หนุ่ยเห็นว่าภรรยาของเขาตกใจกลัวจึงกอดเธอไว้แล้วพูดปลอบใจให้เธอหายกลัวพร้อมกับใช้มือลูบศีรษะเธอเบาๆ ราวกับจะบอกว่าผมอยู่กับคุณที่นี่ คุณไม่ต้องกลัวผมปกป้องคุณอยู่ ดูอาการจนภรรยาคลายความกลัวลงบ้างแล้วจึงได้พาเธอมานั่งที่เดิม แล้วคุยกับลุงปรีชาต่อในเรื่องพัฒนาการวัยเด็ก ตลอดจนเรื่องความเชื่อต่างๆ นิทานกรีกโบราณ จนมาถึงตอนนี้ลุงปรีชาก็รู้สึกว่าชักจะง่วงนอนแล้ว จึงจะขอตัวกลับไปนอนพักผ่อน คนแก่อย่างลุงถ้าพักผ่อนน้อยไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพเพราะร่างกายไม่แข็งแรงเหมือนคนหนุ่มๆ คนแก่ก็เหมือนรถเก่าที่ใช้งานมานานเครื่องหลวมช่วงล่างคลอน สีที่เคลือบอยู่ก็หมองด้านไม่แวววาว บางจุดก็แตกร้าวหลุดกระเทาะ บางจุดเป็นสนิมฝังในมองผิวเผินก็ไม่เห็น หากใช้งานหนักหักโหมไปดีไม่ดีเดี๋ยวถ้าเครื่องมันเกิดดับลงดื้อๆ ก็จะกลายเป็นเศษเหล็กที่ต้องทิ้งเพราะซ่อมไม่ได้แล้ว ลุงปรีชารู้ตัวว่าถึงเวลาที่จะต้องพักผ่อนแล้ว แม้ว่าอยากจะเล่าเรื่องอะไรต่ออะไรให้ฟังอีกมากเหมือนรถที่อยากจะพาผู้โดยสารไปทุกแห่งแต่ก็ต้องพักเครื่อง ยนต์บ้าง หากพรุ่งนี้ยังหายใจอยู่ก็จะเล่าให้ฟังอีก หนุ่ยกับดาก็ต้องพักผ่อนเช่นกันเพราะเดินทางกันมาทั้งวัน ส่วนการที่จะพักหรือไม่นั้นก็ต้องแล้วแต่ว่าทั้งสองคนจะมีจิตสำนึกรู้มากน้อยแค่ไหน
ทั้งหลายทั้งปวงที่พูดนี้ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นถึงจิตสำนึกว่ามันเป็นอย่างไร”
“ คุณลุงครับผมรู้สึกว่ามันคล้ายๆ กับแนวคิดเรื่องการมีสติของพุทธศาสนาเราอย่างนั้นแหละ”
“ ใช่ แต่ก็ยังไม่ลึกซึ้งหรือละเอียดเท่า ฟรอยด์ท่านก็คิดตามประสานักคิดทางตะวันตกที่ยังคิดไม่จบเพราะมันเป็นเพียงการคิดการวิเคราะห์จากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ป่วยที่มารับการรักษากับท่าน แต่พระพุทธเจ้าของเราพระองค์เป็นที่สุดแล้ว พระธรรมของพระพุทธองค์เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงประจักษ์ในฌาณโดยผ่านการบำเพ็ญเพียรอันมีศีลและสมาธิเป็นบัลลังก์ให้เกิดพุทธิปัญญาที่เป็นอกาลิโกคือเป็นความจริงแท้ที่สามารถพิสูจน์ได้ทุกเมื่อและทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองคือเป็นปัจจัตตัง
จิตสำนึกในทางพุทธศาสนานั้นเป็นจิตที่ประกอบไปด้วยเจตนา คือมีความตั้งใจ จงใจ ซึ่งเป็นตัวนำหรือตัวเริ่มต้นของการไปสู่การกระทำทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม เจตนาในกุศลกรรมนับว่าเป็นเจตนาของจิตสำนึกที่มีสติเป็นตัวกำกับคือมีความรู้ตัวทั้งก่อนทำ ขณะกระทำและหลังการกระทำ ส่วนอกุศลกรรมนั้นถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่มีสติจึงไม่นับเข้าพวกกับสิ่งที่เรียกว่าจิตสำนึกเพราะถ้ามีสติแล้วจะต้องไม่ทำในสิ่งที่ผิดสิ่งที่ชั่วทั้งหลาย อกุศลกรรมจึงจัดเข้าเป็นพวกของสิ่งที่เป็นจิตใต้สำนึกไป
ทีนี้ในกุศลกรรมนั้นจะต้องมีเจตนาในผัสสะคือมีเจตนาในการสัมผัสของอายตนะทั้งหกคือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่มีต่อรูปคือสิ่งที่เป็นรูปธรรมและพฤติกรรมทั้งหลาย มีเจตนาในเวทนาคือมีความตั้งใจรับรู้ความรู้สึกทั้งสุข ทุกข์และความรู้สึกเฉยๆ จนเกิดเป็นสัญญาขึ้นมา นั่นก็คือมีความจำได้หมายรู้ในอารมณ์ต่างๆ ซึ่งอารมณ์ในที่นี้หมายถึงสิ่งที่จิตรับรู้คือความเย็นร้อนอ่อนแข็ง รูปทรงสันฐาน สีสรรตำแหน่งวางตั้ง ความถูกความผิด ความดีความชั่ว จนเกิดวิญญาณคือความรู้แจ้งในอารมณ์ที่เกิดแก่สัมผัสทั้งหกได้แก่การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรู้รส การสัมผัสทางกายและความรู้สึกนึกคิดทางใจ หรือจะพูดอีกนัยหนึ่ง จิตสำนึกก็คือจิตที่ประกอบด้วยสติที่มีการรับรู้ตามความเป็นจริงไม่ได้เป็นไปตามความอยากหรือความต้องการที่จะให้มันเป็น ถ้าหากเป็นการรับรู้อย่างที่ใจอยากหรือใจต้องการให้มันเป็นนั้นเป็นการรับรู้ด้วยความไม่รู้เท่าทันความเป็นปัจจุบัน เป็นการรับรู้ไปตามแรงกระตุ้นของจิตใต้สำนึกหรือของอดีตที่ผ่านมาในชีวิตเป็นการรับรู้ด้วยความที่ไม่รู้เท่าทันปัจจุบันเป็นการรับรู้อย่างขาดสติ การรับรู้เช่นนี้จึงขัดแย้งกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เราจะเห็นได้ชัดเจนในคนที่มีอาการทางประสาทที่เรียกว่าโรคประสาทหรือโรคจิต คนที่เป็นโรคจิตโรคประสาทเป็นคนที่ไม่มีสติต่อผัสสะหรือการสัมผัสของอายตนะทั้งหก ทั้งที่อายตนะทั้งหกนั้นเป็นเหมือนเครื่องมือสื่อสารที่รับรู้สาระของสิ่งที่สัมผัสแล้วเชื่อมโยงต่อไปยังจิตที่เป็นเหมือนเครื่องประเมินผลแต่ในคนเหล่านี้กลับมีการปรุงแต่งสาระเหล่านั้นด้วยความคิด ซึ่งความคิดที่สอดแทรกเข้ามานั้นเป็นความคิดที่สืบเนื่องมาจากประสบการณ์ในอดีตหรือเชื่อมโยงกับอนาคตในจินตนาการซึ่งยังไม่บังเกิดขึ้นจริงๆ ก็ได้ ความคิดปรุงแต่งหรือความคิดที่สอดแทรกขึ้นมานั้นมันเป็นส่วนของจิตใต้สำนึกที่มันผุดขึ้นมาบิดเบือนความเป็นจริง และเมื่อใดก็ตามที่มันผุดขึ้นมามันก็จะทำให้เราขาดจากความเป็นปัจจุบันแล้วเราก็เผลอไผลไปกับมัน เราก็ขาดสติและจิตก็ประเมินผลผิดพลาดเป็นวงจรหรือวัฏฏะที่ต่อเนื่องไม่รู้จบ จิตใต้สำนึกในทางพุทธศาสนาหมายถึงจิตที่ขาดสติ ขาดสติสัมปชัญญะและคำว่าสติสัมปชัญญะนี้หมายถึงแต่ในด้านดีเท่านั้นนะ หากเป็นด้านที่ไม่ดีหรือด้านลบแล้วเราจัดว่าคนๆนั้นเป็นผู้ที่ขาดสติสัมปชัญญะ คนที่มีสติสัมปชัญญะเป็นคนที่รู้ผิดรู้ถูก รู้ดีรู้ชั่วแล้วเลือกทำแต่ในทางที่ถูกที่ดีเท่านั้น หากรู้แล้วยังทำในสิ่งที่ผิดที่ชั่วก็เป็นคนที่ขาดสติสัมปชัญญะ
ทีนี้เราจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรผิดอะไรถูก อะไรดีอะไรชั่ว หากเป็นในทางด้านจิตวิทยาหรือในด้านวิชาการสมัยใหม่ก็จะใช้กระบวนการเรียนรู้ทั้งจากพ่อแม่ผู้ปกครอง จากครูบาอาจารย์ จากหลักธรรมคำสอนทางศาสนาเป็นหลัก ส่วนในทางพุทธศาสนานั้นเราใช้วิธีการที่เรียกว่า วิปัสสนากรรมฐานหรือสมถะกรรมฐาน ซึ่งก็แล้วแต่ว่าใครจะถนัดทางไหน จะเริ่มด้วยวิธีการใดก่อนก็ได้แต่ในชั้นสุดท้ายก็ต้องใช้ทั้งสองวิธีร่วมกัน การเจริญวิปัสสนาเป็นการเฝ้ารับรู้ความเป็นไปและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในจิตของเรา ไม่ต้องทำอะไรมากเฝ้ารับรู้มันอย่างเดียว ไม่ต้องไปผลักไสไล่ส่งมันเวลาที่เกิด ความรู้สึกหรือความคิดใดๆ ขึ้นมา ดูมันไปให้จนถึงที่สุดเดี๋ยวมันก็จะดับไปเองเพราะมันเป็นอนิจจัง คือสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย เกิดจากปัจจัยปรุงแต่ง ทุกสิ่งทุกอย่างมีเกิดมีดับต่อเนื่องกันไป ไม่คงที่ ไม่เที่ยงและก็ไม่ยั่งยืน หากเราไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวกู ของกู เราก็จะหลงและไม่อาจเกิดปัญญาใดๆ ขึ้นมาได้ โดยรวมแล้วสิ่งที่เรียกว่าจิตสำนึกนี้มันทำงานอยู่ภายใต้การขับเคลื่อนของสิ่งที่เรียกว่าซูปเปอร์อีโก้ นั่นก็คือหลักธรรมคำสอน ของพระ พ่อแม่ ครูอาจารย์ ตลอดจนกฎหมายกฎเกณท์ กติกาทางสังคมต่างๆ ซึ่งล้วนเป็นการควบคุมพฤติกรรมของคนเราให้อยู่กับร่องกับรอย ไม่ก่อให้เกิดปัญหาใดๆ ขึ้นมาในสังคมการอยู่ร่วมกันของเรา หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งก็คือจิตรู้หรือจิตตื่นหรือจิตที่มีสัมมาทิฐินั่นเอง
ส่วนจิตใต้สำนึกและจิตไร้สำนึกนั้นเป็นจิตที่ไม่รู้คือมีอยู่แต่ไม่รู้ว่ามี เป็นจิตส่วนที่ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ อย่างที่พูดไปเมื่อกี้ว่ามันเป็นภูเขาน้ำแข็งส่วนที่จมอยู่ใต้น้ำเวลาที่เราอยู่ข้างบนมองในระดับปกติจะไม่เห็นมันเราต้องก้มมองลงไปในน้ำ มองลงไปเห็นถึงไหนนั่นเป็นส่วนของจิตใต้สำนึก หากเทียบกับในชีวิตประจำวันก็จะเห็นได้เช่นเวลาที่เราพูดว่า “อ้า...ผมลืมไปแล้วนะเนี่ยว่ามีหนังสือเล่มนี้อยู่ ดีนะที่คุณพูดถึงมันเลยทำให้ผมนึกขึ้นมาได้” หรือไม่ก็เวลาที่เราพบกับใครบางคนแล้วเราพูดว่า “ขอโทษนะครับผมนึกไม่ออกจริงๆ ว่าเราเคยพบกันที่ไหน” จนกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะเล่าให้ฟังว่าเคยพบกันที่ไหนเมื่อไหร่อย่างไรนั่นแหละคุณจึงจะถึงบางอ้อว่า “อ้อ..ใช่ๆ..เราเคยพบกันที่....” อะไรทำนองนี้
อ้อ..ผมเกือบลืมไปเลยที่จะต้องพูดเรื่องนี้ก่อนว่ามันมีการใช้กันสองอย่างในวงการศึกษาบ้านเราระหว่างคำว่าจิตใต้สำนึกและจิตไร้สำนึกเนี่ย บางตำราซึ่งนั้นก็คือบางอาจารย์ก็ใช้คำว่าจิตกึ่งสำนึกกับจิตใต้สำนึก โดยให้ความหมายของจิตกึ่งสำนึกนี้เป็นส่วนของน้ำแข็งที่เรามองเห็นในน้ำและส่วนที่มองไม่เห็นก็คือส่วนของจิตใต้สำนึก ถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็จะใช้คำว่า conscious , subconsciousและ unconscious เพราะฉะนั้นอย่าสับสน ต้องพิจารณาให้ดีว่าสิ่งทีในตำราเขียนไว้หรือสิ่งที่ใครเขาพูดนั้นว่าอันไหนเป็นsubconsciousและอันไหนเป็น unconscious ตอนนี้เรากำลังพูดถึง subconscious กันอยู่ มันเป็นจิตส่วนที่ครึ่งหลับครึ่งตื่น เบลอๆ คับคล้ายคับคลา รู้ว่ามีแต่ไม่รู้อยู่ไหน รู้ว่าเคยเห็นแต่ไม่รู้ว่าเห็นเมื่อไหร่ที่ไหน ต้องเพ่ง ต้องคิด ต้องให้เวลากับมันนิดหนึ่งจึงจะนึกออกจึงจะจำได้ มองธรรมดาไม่เห็นต้องก้มลงไปมองดูในน้ำจึงจะเห็นยิ่งเพ่งยิ่งเห็นชัด แต่ในส่วนที่ลึกลงไปมากกว่านั้นก็มองไม่เห็นจะเพ่งจะมองเท่าไหร่ก็ไม่เห็น อย่างเช่นบางคนที่พอต้องขึ้นลิฟท์เมื่อไหร่ก็เป็นต้องอกสั่นขวัญแขวน ใจเต้นไม่เป็นจัวหวะ รู้สึกว่ากลัวไม่สบายใจที่ต้องเข้าไปในลิฟท์ทั้งๆ ที่ใครๆ เขาก็เข้าไป ใครๆ เขาก็ใช้ลิฟท์กันไม่เห็นมีใครเป็นอะไร แต่คนๆ นี้ไม่ชอบและไม่กล้าเข้าไปคนเดียว พอถามว่าทำไมก็ตอบไม่ได้ว่าทำไมถึงได้รู้สึกกลัวทำไมถึงได้รู้สึกไม่สบายใจเมื่อต้องเข้าไปในลิฟท์ บางคนก็กลัวของมีคมเห็นคนถือมีดไม่ได้เป็นต้องหลบต้องหนีหรือไม่ก็ต้องห้ามไม่ให้ถือมีดให้เห็นเพราะเห็นแล้วรู้สึกกลัวบางคนกลัวมากถึงกับเหงื่อแตกเป็นเม็ดๆ คล้ายจะเป็นลมไปเลยก็มี บางคนก็ล้างมือทั้งวันไม่ว่าจะจับอะไรมานิดมาหน่อยก็ต้องไปล้างมือที่เป็นมากถึงกับมือเปื่อยขาวซีดเลยก็มี ถามว่าทำไมถึงต้องล้างมือบ่อยก็ตอบไม่ได้รู้แต่เพียงว่าต้องล้างมือให้สะอาด
มีผู้หญิงคนหนึ่งผมยังจำเธอได้จนทุกวันนี้เธอมาหาผมด้วยอาการกลัวใยแมงมุมและกลัวมากๆ ด้วย ในบ้านของเธอจะต้องให้ทุกคนคอยดูไม่ให้มีใยแมงมุมอยู่ในบ้านเลย เวลาไปไหนเธอก็จะมองว่าที่นั่นมีใยแมงมุมอยู่ที่ไหนบ้างเธอจะต้องหลบเลี่ยงไปอยู่ไกลๆ มันเสมอ ยิ่งเวลาที่ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับครอบครัวหรือกับเพื่อนเธอแทบจะไม่อยากไปด้วยเลยเพราะเธอรู้สึกว่าไปที่ไหนก็มีแต่ใยแมงมุมทั้งนั้น มันทำให้เธอหมดโอกาสและหมดความสุขในชีวิตนี้ไปมาก เวลาที่เธอเห็นใยแมงมุมเธอจะรู้สึกหายใจไม่ออกหน้าซีด เหงื่อแตกเป็นเม็ดๆ แล้วก็จะตามมาด้วยอาการหอบหืดเหมือนคนเป็นภูมิแพ้ ไปหาหมอที่ไหนก็รักษาไม่หาย เธอต้องพกยาพ่นขยายหลอดลมติดตัวไว้ตลอดเวลา”
“เธอเป็นอะไรคะคุณลุง” ดาอยากรู้มากจนอดใจฟังอยู่เงียบๆ ต่อไปไม่ไหวจนต้องรีบถามขึ้นมา พอดีได้จังหวะปรีชาจึงหยุดพูดแล้วหันไปหยิบไปน์ขึ้นมาใช้เหล็กเขี่ยขี้เถ้าเก่าออกนิดหน่อยแล้วจุดสูบในท่านั้งไขว่ห้างเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายๆ ควันสีขาวค่อยๆลอยละเลียดออกมาจากกระบอกไปน์เป็นละรอกๆ ตามจังหวะการสูบ เมื่อต้องรอคำอธิบายจากปรีชาขณะที่เขากำลังเสพสุขอยู่นั้นดาจึงเอื้อมมือไปหยิบเหล็กเขี่ยไปน์ของปรีชาขึ้นมาดู
“ขอหนูดูหน่อยนะคะ”
“เอาซิ..ๆ” ปรีชาอนุญาตขณะที่ยังคาบไปน์ไว้ในปาก
“แปลกดีนะคะ มีมีดด้วย ดูซิหนุ่ยแต่มันไม่คมเลยนะ” ดาเอาเหล็กเขี่ยไปน์มากางออกพิจารณาส่วนประกอบของมันพร้อมกับยื่นให้หนุ่ยดู
“มันใช้ทำอะไรคะ” ดาหันไปถามปรีชาขณะที่ยังพิจารณามันอยู่ในมือ
“ไอ้ที่เหมือนมีดนะเขาใช้สำหรับขูดข้างในกระบอกเอาเศษที่มันติดอยู่รอบๆ ด้านในออก ส่วนที่เป็นเหล็กแหลมนั้นไว้สำหรับทะลวงรูข้างในเวลามียาเส้นหรือขี้เถ้าเข้าไปอุดรู ส่วนที่ปลายแบนๆนั้นเอาไว้กดยาเส้นให้มันเรียงตัวกันแน่นๆ เหม็นไหมลองดมมือดูซิ”
“ อี้...” ดาร้องออกมาด้วยความลืมตัวเหมือนเด็กๆก่อนที่เธอจะเอามันไปวางไว้ที่เดิมทำให้ปรีชาและหนุ่ยถึงกับหัวเราะออกมาพร้อมกัน
“ อี้..เหม็นติดมือดาเลยเนี่ย เวลาที่คุณลุงสูบหนูว่ามันไม่เหม็นนะคะ กลิ่นมันก็หอมแปลกดีแต่ไอ้นี่ทำไมมันเหม็นอย่างนี้ก็ไม่รู้”
ไม่มีใครขยายความต่อในความซนของดา เธอจึงเอากระดาษทิชชู่มาเช็ดมือ ปรีชาถอนไปน์ออกจากปากมาวางไว้ที่เดิมแล้วปล่อยควันสุดท้ายให้ค่อยๆลอยอ้อยอิ่งหายไปในความมืด
“ เมื่อกี้หนูถามว่าคนนั้นเธอเป็นอะไรใช่ไหม” ปรีชาถามคำถามทิ้งไว้แล้วซดเลอลองกองเข้าไปล้างปากก่อนที่จะพูดต่อ
“เอาอย่างรวบลัดเลยนะ ผู้หญิงคนนี้เป็นคนกรุงเทพฯ ตอนที่เธอคลอดนั้นมีปัญหาระหว่างคลอด คือสายสะดือมันพันคอเธอแล้วเธอก็ติดช่องคลอดอยู่ทำให้สมองขาดอากาศไปนิดหนึ่ง การทำงานของร่างกายจึงไม่สมบูรณ์เหมือนเด็กทั่วไป เธอต้องได้รับดูแลการรักษาอย่างใกล้ชิด นึกออกไหมเด็กตัวเล็กๆ เกิดออกมาก็ต้องนอนในตู้กระจกโดนเข็มเจาะตามร่างกายแล้วมีสายระโยงระยางเต็มไปหมด เหตุการณ์ตรงนี้แหละที่มันฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึกของเธอและมันแปลผลในเวลาต่อมากลายเป็นความกลัวที่เธอมีต่อใยแมงมุม”
“แล้วคุณลุงรู้ได้อย่างไรคะ”
“ตอนนั้นเธอมาปรึกษาผม โดยอาจารย์ทางด้านจิตวิทยาท่านหนึ่งที่รู้จักกันกับผมดี ท่านทราบว่าผมเรียนทางนี้มาก็เลยส่งมาให้ผม”
“แล้วคุณลุงทำยังไงครับ” หนุ่ยถามคำถามพร้อมขยับเก้าอี้เข้าใกล้โต๊ะอีกนิดหน่อยแล้วโน้มตัวไปข้างหน้าวางศอกไว้บนโต๊ะอย่างตั้งใจฟัง
“ สิ่งนี้เขาเรียกว่าอาการทางประสาทหรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่าเป็นโรคประสาท นั่นแหละ คนที่เป็นส่วนใหญ่จะไม่ยอมรับว่าเขาเป็นเพราะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่าอายเป็นเรื่องที่สังคมยอมรับไม่ได้ กลัวใครเขาจะหาว่าเป็นบ้าที่ดีหน่อยก็หาว่าแปลก ว่าเป็นคนแปลกกลัวแม้กระทั่งใยแมงมุมอะไรทำนองนี้ ซึ่งมันไม่ได้มีเฉพาะคนที่กลัวใยแมงมุม บางคนก็กลัวกบ กลัวหนอนกลัวกิ้งกือแต่มันก็ยังแตกต่างกันไปอีกนะความกลัวกับความขยะแขยงเนี่ยมันไม่เหมือนกันต้องแยกให้ออก เรื่องขยะแขยงนั้นมันเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆ ก็ขยะแขยงสิ่งต่างๆ ได้ถ้าสิ่งนั้นมันอุบาทจริงๆ ส่วนคนที่มีความกลัวต่อสิ่งต่างๆนั้นส่วนใหญ่มันจะมีเหตุที่มาที่ทำให้เกิดเป็นแผลทางใจและแผลนั้นมันฝังลึก การบาดเจ็บที่มีผลให้เป็นแผลทางใจนั้นบางทีมันมีความรุนแรงมากเกินกว่าที่จิตสำนึกจะยอมรับได้ขบวนการทางจิตจึงผลักมันเข้าไปเก็บไว้ในห้วงจิตใต้สำนึกหรือมันเกิดขึ้นมานานจนเลือนไปจากความทรงจำในระดับจิตสำนึก มันนอนนิ่งอยู่ก้นบึ้งของจิตใต้สำนึก unconscious นะ พอมีเหตุปัจจัยหรือสิ่งเร้าเข้ามากระทบเข้าก็จะแสดงอาการออกมาให้เห็น แต่หากอยู่เฉยๆ ไม่มีสิ่งเร้าเข้ามากระทบเขาก็มีชีวิตอยู่ได้ปกติเหมือนคนทั่วไป นอกเสียจากว่าเขาจะต้องพบเห็นมันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจนไม่อาจใช้ชีวิตอย่างปกติสุขได้ตรงนั้นแหละจึงจะเริ่มมองหานักจิตบำบัดกัน
วิธีการที่นักจิตบำบัดทำกับคนเหล่านี้เขาเรียกกันว่าการทำจิตบำบัด ใช้เครื่องมือหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการสะกดจิต การทำฟรีแอสโซซิเอส การวิเคราะห์ความฝัน การแสดงบทบาทสมมุติ การใช้เทคนิคเอ็มตี้แชร์ ฮอทซีท การใช้กระบวนการกลุ่ม มีวิธีการเยอะแยะมากมายทั้งนี้ก็แล้วแต่ว่านักจิตบำบัดคนนั้นจะเรียนมาสายไหนและก็แล้วแต่ว่าปัญหานั้นเป็นอย่างไร”
“แล้วใช้เวลานานแค่ไหนครับแต่ละคน”
“คำว่าใช้เวลานานแค่ไหนนี้ตอบไม่ได้เพราะมันก็ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของคนที่มาปรึกษาว่าเขามีความจริงใจไหม เอาจริงเอาจังหรือเปล่า ไว้วางใจกันมากน้อยแค่ไหน ศรัทธาแค่ไหน สมัครใจหรือโดนบังคับมา มาด้วยความบริสุทธิใจหรือมาลองของ หัวดื้อหรือหัวอ่อน แต่ละคนไม่เหมือนกันบางทีเสียเวลากับเรื่องพวกนี้เป็นปีก็มีกว่าจะลงตัวเริ่มบำบัดได้ บางคนที่มาด้วยศรัทธาก็ไม่ต้องเสียเวลามากแต่บางคนก็มากับปัญหาแฝงคือมาบอกว่าเป็นอย่างหนึ่งพอเอาเข้าจริงกลับเป็นอีกอย่างหนึ่งหรือไม่ก็มีปัญหาอื่นพ่วงด้วย เรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องของจิตใจ มันมีความละเอียดซับซ้อน มันซ่อนรูป มันเบี่ยงเบน จึงต้องใช้เวลา บางคนใช้เวลาเป็นปีๆ บางคนไม่เข้าใจทนไม่ได้ไม่ทันใจ เลิกกลางคันหันไปหาแพทย์ฝ่ายกายเอายามากินระงับอาการเป็นครั้งคราวก็มี แต่มันก็ได้เป็นครั้งคราวเท่านั้นนะ ปัญหาทางจิตมันก็ต้องแก้ด้วยวิธีการทางจิต การใช้ยาแก้นั้นมันเป็นเรื่องของปลายเหตุ เป็นการแก้ตามอาการไม่ได้เจาะหาสมุฐานของมันและต้นตอของปัญหานั้นมันอยู่ลึกอยู่มานานการจะทำให้มันหายไปในพริบตานั้นไม่ได้อย่างเช่นบางคนพอเจอแดดเจอฝนนิดหน่อยก็เป็นหวัดน้ำมูกไหล เหมือนว่าร่างกายมันอ่อนแอเอามากๆ ทั้งที่ก็แข็งแรงดี แข็งแรงกว่าพวกขี้ก้างทั้งหลาย พวกขี้ก้างตากแดดตากฝนไม่เป็นไรแต่พวกออกกำลังกายทุกวันเข้าฟิตเนสเป็นประจำ กินอาหารดีนอนเป็นเวลาตื่นเป็นเวลา พวกนี้กลับขี้โรค จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ คนพวกนี้ส่วนใหญ่ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างผิดๆ ส่วนใหญ่จะถูกเลี้ยงดูมาแบบโอเวอร์โปรเทคชั่นคือพ่อแม่ประคบประหงมมากเกินไป เลี้ยงแบบไข่ในหิน พวกที่มีพ่อแม่เวอร์เห่อลูกทั้งหลายที่ลูกออกไปเล่นกลางแดดก็ไม่ได้ “ว้าย...อย่าออกไปเล่นกลางแดดนะลูกเดี๋ยวเป็นหวัด” ไอ้เด็กคนนี้ก็เลยได้แต่นั่งอยู่ในร่มดูเพื่อนๆ เขาเล่นกัน พอฝนตก เด็กกับน้ำฝนนี่มันของคู่กันมันอยากออกไปแก้ผ้าเล่นน้ำฝน โรงเรียนเลิกตอนเย็นฝนตกมันก็อยากเดินลุยฝนกับพวกเพื่อนๆ ของมันเตะน้ำกระทืบน้ำใส่กันเล่นเป็นที่สนุกสนาน พอกลับถึงบ้านแม่มันบอกว่า “ ทำไมไปตากฝนมาอย่างนี้ เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก” ไอ้คำพูดเหล่านี้แหละที่ว่า “ว้าย...อย่าออกไปเล่นกลางแดดนะลูกเดี๋ยวเป็นหวัด” หรือว่า “ ทำไมไปตากฝนมาอย่างนี้ เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก” เด็กมันได้รับการกรอกหูอยู่ทุกวันๆ บ่อยเข้ามันซึมลึกเข้าไปอยู่ในจิตใต้สำนึก จิตมันรับรู้บ่อยเข้าๆ มันเลยเชื่อเลยว่า ตากแดดเป็นหวัด เปียกฝนเป็นหวัด ประกอบกับจิตมันฉลาดมันรู้วิธีเอาชนะพ่อแม่มัน มันรู้วิธีที่จะชดเชยสิ่งที่ขาดไป มันก็เลยเอาสิ่งที่พ่อแม่มันพูดนี่แหละมาเป็นเครื่องมือการเรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่มันอีกที เรียกร้องความสนใจยังไง ก็คือต้องออกไปเล่นกลางแดดแล้วเป็นหวัดหรือไม่ก็ต้องออกไปตากฝนแล้วเป็นหวัด เพื่อที่มันจะให้พ่อแม่มันมาโอ๋ มาเอาใจ ได้กินของอร่อย ได้กินขนม ได้นอนกับแม่กับพ่อสนองปมออดิปุสปมอิเล็คตร้า ได้หยุดอยู่บ้านไม่ต้องไปโรงเรียนไปเจอครูใจร้ายหรือไม่ก็ไม่ต้องทำการบ้านส่งครู ได้ไปที่ทำงานกับพ่อกับแม่ ให้เพื่อนที่ทำงานของพ่อกับแม่เอาใจ ให้สาวๆ อุ้ม ผลประโยชน์มันมากพ่อแม่มันโง่รู้ไม่ทันเด็ก พอโตขึ้นมาเด็กคนนี้ก็ใช้อาวุธนี้กับคนอื่นอีกซึ่งเจ้าตัวมันก็ไม่รู้ตัวหรอกนะเพราะมันเป็นไปโดยอัตโนมัติเสียแล้ว มันฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึกแล้วจนดูเหมือนว่ามันเป็นเองมันเกิดขึ้นเอง พวกนี้ก็ใช้อาวุธนี้กับเพื่อนฝูงเพื่อหลบงานอู้งานเพื่อเรียกร้องความสนใจหรืออะไรก็ตามแต่เพราะพวกเพื่อนๆ จะรู้ว่าไอ้คนนี้ถ้ามันออกแดดหรือเปียกฝนแล้วมันจะเป็นหวัดเดี๋ยวจะพากันเสียงานหรืองานไม่เสร็จหรืออะไรก็ตามแต่ อย่าไปใช้มันทำอะไรกลางแดดกลางฝน ให้มันทำอยู่ในห้องในออฟฟิสนั่นแหละ หรือไม่ก็พวกนี้จะรู้สึกว่าตัวนั้นมีความสำคัญที่ใครๆก็ต้องมาคอยถามว่า เป็นยังไงยังพอไหวไหม เอาทิชชู่ไหม เอายาไหม เอาหมวกเอาร่มไหม แล้วพวกนี้ก็บอกไม่เป็นไรพอทนได้ ตกเย็นมาก็เป็นหวัดเป็นไข้ให้เพื่อนๆ มาดูแลมาสนใจไถ่ถามอาการทุกข์สุขอีก ทีนี้เห็นกันหรือยังผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากกลไกทางจิต ที่พูดให้ฟังนี้เพียงเรื่องเดียวนะและถือว่าเป็นเรื่องเล็กขี้ประติ๋ว
คนเรานะพฤติกรรมหรือการกระทำทุกอย่าง คำพูดทุกคำพูด การแสดงออกทางกายทุกการแสดงเช่นสีหน้า ท่าทาง น้ำเสียง แววตา มันมีเหตุที่มาทั้งนั้น มันเป็นผลที่เกิดขึ้นมาจากการทำงานของจิตใจทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นจิตส่วนไหนก็ตามก็ส่งผลทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตใต้สำนึกมันส่งผลโดยที่แม้แต่เจ้าตัวเองก็ยังไม่รู้ตัว
ถามว่ามันอันตรายไหม มันก็มีทั้งส่วนที่เป็นอันตรายและส่วนที่สร้างสรรค์ ส่วนที่อันตรายก็ต้องบำบัดกันไป ส่วนที่สร้างสรรค์ก็ต้องส่งเสริมต้องลูกฝังเพื่อก่อให้เกิดการกระทำที่เป็นไปในทางบวก ที่มีผลดีต่อองค์กร ต่อสังคม ต่อประเทศชาติ ต่อสิ่งแวดล้อม มันมีวิธีการของมันอยู่แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ค่อยได้รับการส่งเสริมหรือเอาจริงเอาจัง พวกเราก็รู้อยู่ว่าโครงการต่างๆ ที่ออกมาไม่ว่าจะจากภาครัฐหรือภาคเอกชนก็ตาม ส่วนใหญ่จะเป็นโครงการแบบไฟไหม้ฟาง โครงการขี้ฉ้อ ตั้งโครงการเอาหน้าพอได้งบประมาณเข้ากระเป๋าก็เป็นอันว่าเลิกกัน รอไว้ปีงบประมาณใหม่หรือได้เป็นรัฐบาลเมื่อไหร่ก็ค่อยทำกันอีกทีอะไรทำนองนี้ หรืออีกพวกหนึ่งก็คือตั้งโครงการขึ้นมาแล้วโดยให้นักวิชาการทำพอนักวิชาการเริ่มทำอะไรขึ้นมาเป็นรูปธรรมมันก็กลัวเขาได้หน้าเกินหน้ามัน พวกนี้มันอยากเป็นใหญ่อยากออกหน้าเลยออกนโยบายปัญญาอ่อนมาพวกชอบทำตัวเป็นนักวิชากูหรือนักวิชาเกินพวกนี้ สุดท้ายก็ไม่มีใครให้ความร่วมมือกับมันเพราะขืนทำตามวิชาเกินของมันก็มีแต่ความเสี่ยงที่จะเสียหายต่อชื่อเสียงที่สะสมมาค่อนชีวิต แล้วโครงการต่างๆก็ล้มไม่เป็นท่าเสียงบประมาณไปเปล่าๆ พอก่อนเรื่องนี้ผมไม่อยากพูดถึง เรื่องการเมืองหรือเรื่องการเงินเนี่ยพูดแล้วเดี๋ยวเสียบรรยากาศนอนไม่หลับกันไปอีก
เป็นไงบ้างหละ พอหรือยังสำหรับวันนี้ นี่ว่าจะไปนอนกันตั้งนานแล้วยังอยู่ที่เดิมกันอยู่เลย ผมมันก็เป็นอย่างนี้แหละ บ้าน้ำลายพอได้พูดแล้วก็ไม่รู้จักหยุด แต่ก็มีนะตอนที่ผมไม่พูดเวลาที่ไม่มีอารมณ์นะ ทุกวันนี้ที่มาอยู่ที่นี่ก็เพราะไม่อยากพูดอะไรมาก ผมพูดมาเยอะแล้วไอ้พวกพับลิคสปีชเนี่ย คนที่สนใจจริงๆ มีน้อย ฟังอย่างเดียวดูเหมือนว่าฟังแล้วเข้าใจหมด ไม่มีคำถาม ให้ทำกิจกรรมก็ไม่ค่อยทำมีแต่เล่นกันหยอกกัน ส่วนใหญ่มันก็จะมีแต่พวกฉาบฉวยคือมาฟังตามที่นายสั่ง มาฟังเป็นแฟชั่น มาฟังเพื่อฉวยโอกาสหลบงาน มาเปลี่ยนบรรยากาศการกินอาหารกลางวัน มาเผื่อจะเจอคนถูกใจ มาหากิ๊ก มาเพื่อได้เที่ยว ส่วนพวกที่ตั้งใจมาฟังเพื่อให้ได้ความรู้เอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับชีวิตกับองค์กรนั้นมีน้อย โดยเฉพาะตอนนี้ที่มีกฎหมายบังคับให้องค์กรต้องส่งพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ไปพัฒนาความรู้ประจำปีด้วยแล้ว เลยทำให้ส่วนใหญ่มาด้วยความจำใจไม่ใช่เต็มใจจึงไม่ได้อะไรกลับไปพัฒนาองค์กร พอตอนหลังสัมมนาเสร็จผมส่งแบบสอบถามไปเพื่อที่จะประเมินความก้าว หน้าหลังการสัมมนาก็ไม่ได้รับความร่วมมือ ไม่มีใครใส่ใจที่จะตอบกลับมาก็เลยรู้สึกว่าพอกันทีกับการให้ความรู้ในลักษณะนี้
สู้อยู่อย่างนี้แหละใครอยากได้ความรู้ก็มาแล้วคนที่มาส่วนใหญ่ก็มาด้วยความตั้งใจจริงๆ เพราะมันไกลและก็มายาก กลับไปก็เอาไปทำเอาไปใช้มีปัญหาก็กลับมาถามมานอนคุยกัน โทรศัพท์มาบ้างส่งอีเมล มาถามบ้างก็มี พวกนี้จริงจังและก็ประสบความสำเร็จกันแทบทุกคน แต่ก็มีพวกที่มาแล้วไฟลุกท่วมเลยพวกไฟแรงไหม้เร็วแล้วก็มอดเร็วกลับไปไม่นานก็หมดไฟแล้วก็ทิ้ง พวกไม่ตั้งใจจริง พวกนี้ส่วนใหญ่ก็ไม่กล้ามาสู้หน้าอีกพวกไม่จริงจังกับชีวิตก็ต้องปล่อย
อัตตาหิอัตตโนนาโถ โถใครก็โถมันถือกันเอง กัมมุนา วัตตตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ทำอย่างไรได้อย่างนั้น ไม่ช้าก็เร็ว โอเค!..? ”
“ครับ...แต่ที่เราคุยกันนี้เราไม่ได้พูดถึงจิตกึ่งสำนึกกันเลยนะครับ”
“ ใช่เราไม่ได้พูดถึงมันมากเพราะมันไม่ค่อยมีบทบาทเท่าไหร่ มันเป็นพวกคับคล้ายคับคลา ลางๆเลือนๆ เหมือนอะไรหละ เหมือนที่ชอบพูดกันไง พวกแพลนนิ่งไง แพลนแล้วก็นิ่งไว้ รู้แล้วเฉยไว้อะไรทำนองนั้น คือไม่จริงจัง ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ บางทีก็เป็นพวกที่คิดว่าธุระไม่ใช่อะไรทำนองนั้น พวกนี้จึงต้องกระตุ้นเตือนอยู่บ่อยๆอย่างที่ทำกันคือเขียนป้ายติดไว้ให้เห็นบ่อยๆ เห็นทุกวันๆ จนมันอยู่ในจิตสำนึกอย่างเช่น “ปิดไฟทุกครั้งเมื่อออกจากห้อง” เพื่อช่วยกันประหยัดพลังงานพลังเงิน “ล้างมือทุกครั้งก่อนออกจากห้องน้ำ” เพื่อความมีสุขอนามัยที่ดีไม่แพร่เชื้อโรค อะไรทำนองนั้น
ถามว่าทุกคนรู้ไหม ทุกคนรู้ว่าถ้าเปิดไฟทิ้งไว้ก็สิ้นเปลืองเปล่าๆ แต่ไม่มีจิตสำนึกรับผิดชอบไง คิดตื้นๆ ไง ไม่ใช่เงินกู ไม่จำเป็นที่กูต้องรับผิดชอบ เงินบริษัทๆ จ่าย ไอ้ความไม่รับผิดชอบนี้แหละมันไม่ได้หมายความว่าไม่รับผิดชอบต่อองค์กรอย่างเดียวมันยังไม่รับผิดชอบต่อตัวมันอีก โดยหารู้ไม่ว่าจริงๆ แล้วมันก็เงินกูทั้งนั้นแหละ ถ้าองค์กรต้องจ่ายค่าไฟมากก็มีเงินเหลือน้อย เงินเดือนก็ขึ้นน้อย โบนัสก็น้อย สวัสดิการก็น้อย แล้วใครได้เงินน้อย ก็กูไงที่ได้เงินน้อย แล้วก็จะบ่นไปหาสวรรค์วิมานอะไร มันก็เพราะกูไม่ปิดไฟไง
เพราะฉะนั้นในการพัฒนาไม่ว่าอะไรก็ตาม องค์กรใดก็ตามต้องทำทุกอย่างให้มันอยู่ในจิตสำนึก พอมันจะลืมๆ ก็ต้องกระตุ้นเตือนมันอีก ประชุมอีก อบรมอีก สัมมนาอีก เพราะคนเรามันไม่เหมือนกัน เป็นคนเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน เพราะองค์ประกอบของอัตตามันไม่เหมือนกัน ถ้าสนใจเดี๋ยวพรุ่งนี้จะเล่าให้ฟัง วันนี้พอเท่านี้ก่อนนะ ติดใจจะถามอะไรอีกไหมในเรื่องที่เราพูดกันวันนี้”
“ถ้าจะถามก็คงต้องถามใหม่ทั้งหมดแหละครับ มันเยอะมากและก็ใหม่มากสำหรับเรา ผมต้องขอบคุณคุณลุงมากที่กรุณาเล่าสิ่งต่างๆให้พวกเราฟัง ให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์กับเรา ผมขอเอาไปนอนทบทวนก่อนครับแล้วนี่ก็ดึกแล้วครับผมกลัวเครื่องดับ...”
ปรีชาหัวเราะ หึ..หึ..นึกชมอารมณ์ขันของหนุ่ย แล้วทุกคนก็แยกย้ายกันเข้านอนโดยหนุ่ยกับดาเดินไปส่งปรีชาถึงบ้านแล้วจึงจะเดินสูด กลิ่นหอมเย็นของดอกแก้วตามทางกลับมาบ้านพักกันสองคน...(13)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น