ตะวันบ่ายคล้อยแล้ว ปรีชายังคงนั่งเอนหลังพิงโคนต้นฉำฉาเฝ้า คันเบ็ดตกปลาอยู่ริมหนองน้ำท้ายหาู่บ้านเหมือนทุกครั้งที่เขามีเวลาว่าง เขามานั่งอยู่ที่นี่ตั้งแต่ลำต้นของมันโตขนาดพอโอบมิด ตอนนี้มันโตเกินกว่าที่จะโอบได้และแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปเหมือนร่มกันแดดขนาดใหญ่ ซีกหนึ่งของมันปกคลุมลานดินเป็นบริเวณกว้างพอที่รถยนต์จะเข้ามาจอดหลบแดดอยู่ใต้ร่มเงาของมันสักสามสี่คันเห็นจะได้ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนั้นแผ่ยื่นออกไปในบึงน้ำทำให้บริเวณนั้นร่มรื่นตลอดทั้งวัน เวลาบ่ายจะมีสายลมพัดมาเอื่อยๆทำให้รู้สึกเย็นสบาย บางครั้งสายลมที่เย็นสบายนั้นทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายเหมือนต้องมนต์ จนถึงกับเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัว
ตรงที่ปรีชานั่งอยู่นั้นเป็นร่องระหว่างรากแขนงขนาดใหญ่สองราก
ที่โผล่เหนือดินขึ้นมาก่อนที่มันจะชอนไชลงไปหาอาหารและน้ำในบึงใหญ่ขึ้นมาเลี้ยงตัว รากทั้งสองของมันโผล่ขึ้นมาเหมือนกับจงใจเป็นพนักให้เขาได้วางแขนทั้งสองข้างได้พอดี
อยู่ๆก็มีเสียงคนร้องโวยวายโกลาหลดังมาแต่ไกลมองไม่ถนัดว่าใครเป็นใครเห็นแต่ว่าเป็นพวกชาวบ้านทั้งผู้หญิง ผู้ชาย คนแก่ลูกเด็กเล็กแดง ผู้หญิงบางคนก็อุ้มลูกน้อยวิ่งไปพลางหันกลับไปมองข้างหลังด้วยความเป็นห่วงว่าลูกคนอื่นๆของเธอจะวิ่งตามเธอมาได้ทันหรือไม่ ชาวบ้านบางคนวิ่งมาด้วยสภาพที่มีผ้าขาวม้าพันตัวมาผืนเดียว บางคนก็ล้มลุกคลุกคลานผ้าผ่อนหลุดลุ่ย พยายามหนีเอาตัวรอดอย่างสุดชีวิต ปากก็ร้องตะโกนว่า ช่วยด้วย... ช่วยด้วย... ระคนกับเสียงของต้นไม้กิ่งไม้หักไล่หลังมาราวกับถูกพายุกระหน่ำ บางต้นก็ล้มระเนระนาด โอ้!..ยักษ์..นั่นมันยักษ์นี่ ปรีชานั่งหลบอยู่หลังต้นฉำฉาด้วยใจระทึก สายตาก็มองดูผู้คนเหล่านั้นคนแล้วคนเล่าวิ่งผ่านหน้าเขาไป ฝุ่นฟุ้งตลบอบอวลจนแทบจะหายใจไม่ออก เขาพยายาม ตะโกนร้องเรียกให้ผู้คนเหล่านั้นมาหลบอยู่หลังต้นไม้กับเขา พยายามเรียกอย่างไรก็ไม่มีใครได้ยิน ทุกคนต่างก็ตั้งหน้าวิ่งหนีตามกันไปหวังจะเอาชีวิตรอดจากเงื้อมมือมัจจุราชจึงไม่มีเวลาที่จะหยุดคิดหาที่หลบภัย
พอเจ้ายักษ์ร่างใหญ่วิ่งเข้ามาใกล้ เท้าหนึ่งของมันก็ก้าวเหยียบลงมาใกล้ๆ ต้นฉำฉาที่เขาหลบอยู่ทำให้เขาต้องเบี่ยงตัวหลบด้วยความตกใจกลัว แรงย่ำเท้าของยักษ์ร้ายตนนั้นรุนแรงราวระเบิดปรมณูที่ทหารอเมริกันเอาไปทิ้งที่เมืองฮิโรชิม่าและนางาซากิสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ร่างของปรีชาถึงกับผงะไปตามแรงของมัน ฝุ่นดินฟุ้งกระจุยกระจายขึ้นมาเต็มหน้าจนทำให้เขาแทบจะหายใจไม่ออกมองอะไรไม่เห็น พอตั้งสติได้ก็พยายามสูดอากาศหายใจเข้าไปเฮือกหนึ่ง เขารู้สึกว่าได้หายใจเอาฝุ่นเข้าไปเต็มปอดจนถึงกับสำลักไอออกมาสองสามครั้ง ครั้นตั้งหลักได้ก็พยายามสูดอากาศหายใจเข้าไปใหม่ พอฝุ่นผงสงบลงเขาพยายามเรียกสติให้กลับคืนมาแล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองซ้ายมองขวาแต่เขาก็ต้องแปลกใจที่ไม่เห็นผู้คนไม่เห็นยักษ์ ต้นไม้ต้นไร่รอบๆตัวที่หักระเนระนาดเมื่อครู่ก็ยังอยู่ในสภาพปกติไม่มีร่องรอยการทำลายล้างของยักษ์แต่อย่างใด มีแต่รถยนต์คันหนึ่งจอดติดเครื่องอยู่ข้างหลัง เขาจึงหันกลับมามองสำรวจดูสภาพตัวเองอีกครั้งก็พบว่าเขายังนั่งอยู่ที่เดิมสภาพร่างกายก็ปกติดีทุกอย่าง จึงได้รำพึงกับตัวเองในใจว่า “เออ..เราฝันไปนี่หว่า ”
คันเบ็ดไม้ไผ่ยังทอดตัวพาดอยู่เหมือนเดิมบนง่ามไม้ที่เขาปักไว้ริมตลิ่ง ทุ่นก็ยังลอยสงบอยู่กับที่บ่งบอกว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตใดในน้ำต้องการไส้เดือนที่เขาเกี่ยวเบ็ดล่อไว้ สภาพร่างกายที่อ่อนเพลียเหมือนกับผ่านสมรภูมิรบมาใหม่ๆ ประกอบกับความมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในความฝันทำให้เขาต้องค่อยๆ รวบรวมพละกำลังยันข้อศอกทั้งสองข้างเข้ากับรากฉำฉาเกร็งไหล่ผงกหัวยืดหลังขึ้นดึงตัวให้ตั้งตรงแล้วถ่ายน้ำหนักมาไว้บนศอกซ้ายพร้อมกับเอี้ยวตัวหันกลับไปมองด้านหลังอีกที จังหวะที่เขาเอี้ยวตัวนั้นกระดูกสันหลังของเขาลั่นเสียงดังกรอกๆ..กรอกๆ..พร้อมกับอาการเสียวแปลบจากสะโพกลงไปที่ขาข้างขวาจนถึงปลายเท้าทำให้เขาถึงกับร้องโอ๊ย..ออกมา อาการนี้บอกให้รู้ว่ายิ่งเวลาผ่านไปหมอนรองกระดูกสันหลังของเขาก็ยิ่งเสื่อมสภาพไปจนยากที่จะฟื้นตัว
ปรีชาหันกลับไปมองรถปิกอับคันโตที่ยังคงติดเครื่องจอดนิ่งอยู่ด้านหลังห่างจากต้นฉำฉาที่เขานั่งประมาณสองเมตร พยายามมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นมีใครลงมาจากรถเลย เห็นแต่ล้อขนาดใหญ่ตัวรถอยู่สูงเลยศรีษะของเขาขึ้นไปทำให้ต้องกึ่งเงยหน้ากึ่งเหลือบตาขึ้นไปมอง สปอร์ตไลท์ดวงใหญ่สีเหลืองติดตั้งเรียงกันสามดวงอยู่บนกันชนสเตนเลสหน้ารถ ถัดเข้าไปเป็นออยล์คูลเลอร์แผงใหญ่เกือบเต็มหน้ารถ มองลอดใต้ท้องรถไปเห็นเพลาสองอันบอกให้รู้ว่าเป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อ ฝากระโปรงรถด้านหน้าเป็นสีดำ ทำให้เขาจินตนา การไปว่ารถคันนี้คงจะเป็นรถสีดำทั้งคัน
เสียงเบสทุ้มๆ ตามจังหวะเร่าร้อนของเพลงดังแทรกออกมาประสานกับเสียงเครื่องยนต์ที่คนขับยังไม่ดับเครื่อง พัดลมระบายอากาศแผงแอร์ที่ติดตั้งอยู่ใต้ท้องรถยังคงทำงานอยู่ ขณะที่มองดูสภาพรถอยู่นั้นเขาคิดในใจต่อไปอีกว่ารถคันนี้คงจะไม่ใช่รถของคนที่ชอบเที่ยวตามป่าเขามากนัก หรือไม่ก็อาจจะเป็นนานๆ ครั้งเพราะไม่เช่นนั้นแล้วคงจะไม่ติดตั้งแผงระบายความร้อนของแอร์ไว้ด้านล่างซึ่งเสี่ยงต่อการกระแทกกับตอไม้หรือหินก้อนใหญ่ทำให้รั่วได้ สำรวจไปเรื่อยๆ จนเห็นทะเบียนรถเข้าว่าเป็นรถมาจากกรุงเทพมหานครจึงเข้าใจได้ถึงรูปแบบการติดตั้งแผงระบายความร้อนของช่างแอร์ที่แยกมันออกมาติดตั้งใหม่ให้ไกลจากเครื่องยนต์เพื่อการระบายความร้อนที่ดีขึ้นในสภาพการจราจรที่ติดขัดของเมืองกรุง
ใจหนึ่งก็นึกรำคาญและโมโหที่จู่ๆ ก็มีคนแปลกหน้าบุกรุกเข้ามาทำลายบรรยากาศและความสงบที่เขากำลังเสพอยู่ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าแล้วใครจะรู้ว่ากูนั่งอยู่ที่นี่แล้วที่นี่ก็ไม่ได้เป็นเขตหวงห้ามหรือเขตทหารห้ามเข้าหรือแม้แต่เป็นที่ส่วนตัวของกูก็ไม่ใช่ คนอื่นเขาก็มีสิทธิ์เข้ามาเสพบรรยากาศแห่งความสุขนี้ได้เหมือนกัน มันเป็นที่สาธารณะ
หลังจากพิจารณาสะระตะแล้วก็นึกถึงคำของอาจารย์เก่าขึ้นมาได้ว่า
“อย่าไปไล่ใครเขาหนี บนโลกนี้ยังมีที่ว่างอีกเยอะ หากไม่ชอบใจก็จงลุกขึ้นไปหาทีใหม่” แล้วเขาก็หันกลับมาหาคันเบ็ดของเขาอีกครั้งหนึ่ง ความสงบนิ่งของผิวน้ำทำให้เขารู้ดีว่าหมดหวังที่จะได้ปลามาเป็นอาหารเย็นของวันนี้ เสียงเครื่องยนต์และเสียงเพลงที่ดังกระหึ่มได้ทำให้บรรยากาศของความสงบใต้ร่มฉำฉานั้นหายไป ปลาใหญ่น้อยทั้งหลายคงจะว่ายน้ำหนีไปตั้งแต่ตอนที่ยักษ์ตนนี้ได้เข้ามาทำความสั่นสะเทือนให้กับพื้นดินจนเป็นคลื่นไปกระตุ้นเตือนประสาทสัมผัสของมันให้รู้ว่าอันตรายกำลังจะมาถึง แต่ปรีชาก็ยังลังเลที่จะเก็บเบ็ด เขายังคงนั่งทอดสายตาออกไปข้างหน้าดูแสงระยิบระยับที่ล้อระรอกคลื่นของน้ำอยู่ไกลลิบๆ หมู่นกกระยางที่หากินอยู่อีกฝากหนึ่งของหนองน้ำก็ยังคงเดินลัดเลาะหาปลาเล็กปลาน้อยกินโดยไม่สนใจว่าเกิดอะไรขึ้นทางนี้ กิ่งไผ่และปลายสนที่ชาวบ้านช่วยกันปลูกไว้รอบๆหนองน้ำก็เอนลู่ลมไปมาตัดกับแสงแดดสีทองอ่อนๆยามบ่ายของฤดูหนาวที่หลายคนได้มาพบเห็นแล้วเกิดความหลงไหลเหมือนต้องมนต์ เช่นเดียวกับเมื่อยี่สิบห้าปีก่อนตอนที่เขาเข้ามาพบหมู่บ้านนี้เป็นครั้งแรกและตกหลุมรักมัน จนทุกวันนี้เขากลายเป็นคนตกปลาประจำหมู่บ้าน...(2)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น