วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

visitor อาคันตุก...(3)


เสียงเครื่องยนต์เงียบลงและตามมาด้วยเสียงปิดประตูรถสองครั้งไล่เลี่ยกันได้ปลุกให้ปรีชาตื่นจากภวังค์ที่เผลอนั่งคิดถึงอดีตยามที่มาพบหมู่บ้านหนุงกีเป็นครั้งแรก 

“มีคนอยู่...”   เสียงหญิงสาวที่พึ่งลงมาจากรถร้องขึ้นด้วยความตกใจขณะที่เธอเดินมาเห็นปรีชานั่งอยู่หลังต้นฉำฉาโดยคิดไม่ถึงว่าจะมีใครอยู่แถวนั้น   แล้วเธอก็รีบวิ่งถอยกลับไปท้ายรถ   ชายหนุ่มที่มากับเธอไม่ได้แสดงอาการตกใจออกมาให้เห็นแต่ก็เดินอ้อมไปหาเธอที่ท้ายรถเช่นกัน
“เห็นไหมล่า...ดาบอกแล้วไม่เชื่อว่าอย่าพึ่ง...แล้วนี่เขาจะรู้หรือเปล่าว่าเราทำอะไรกัน” 
หญิงสาวถลาเข้าไปคว้าแขนสามีหนุ่มของเธอมากอดไว้และหยิกเบาๆ พลางกระซิบกระซาบต่อว่าเขาด้วยความรู้สึกอายในสิ่งที่เธอกับเขาพึ่งทำผ่านไปเมื่อครู่ก่อนหน้านี้ในรถ

“ ไม่เป็นไรหรอก  เขาไม่รู้หรอกว่าเราทำอะไรกัน  เสียงรถกับเสียงเพลงก็กลบเสียงของดาหมดแล้วหละอีกอย่างหนึ่งรถเราติดฟิลม์ดำมืดขนาดนี้คนข้างนอกมองเข้ามาอย่างไรก็ไม่เห็น  เชื่อพี่เถอะ..แล้วที่ดาเห็นนั้นคนแก่หรือคนหนุ่มหละ?”  ชายหนุ่มพยายามหาเหตุผลมาอ้างให้หญิงสาวรู้สึกดีขึ้น
“ ไม่รู้เหมือนกัน  ดาไม่ทันได้สังเกต  แต่อาจจะเป็นผู้ชายคนแก่”
“ ช่างมันเถอะ  คนแก่หูตาคงไม่ค่อยดีแล้ว  อย่าไปสนใจเลย  เราไปกันเถอะเดี๋ยวจะมืดไปเสียก่อน   นี่ยังไม่รู้เลยว่าบ้านที่เราจะนอนค้างนั้นอยู่ที่ไหนเราอาจจะต้องไปถามคนในหมู่บ้านดู”  แล้วชายหนุ่มก็ดึงตัวดาหญิงคนรักเข้ามากอดไว้พลางกระซิบข้างหูเธอเบาๆ
“ แต่มันก็ตื่นเต้นดีไม่ใช่เหรอ?”
หญิงสาวไม่ตอบได้แต่มองค้อนแล้วเดินไปขึ้นรถ 

ปรีชายังคงนั่งอยู่ที่เดิม  มือก็ค่อยๆ สาวเบ็ดมาม้วนเอ็นเข้ากับคันไม้ไผ่ แล้วปลดไส้เดือนออกจากตะขอก่อนที่จะเหน็บมันเข้ากับยางยืดที่มัดติดกับคันเบ็ด   พับหนังสือที่เปิดอ่านค้างไว้เก็บเข้าย่าม   เทน้ำชาค้างกระติกที่ใกล้จะหมดหมดความร้อนแล้วทิ้งลงไปใกล้ๆโคนต้นฉำฉา   แม้ว่าจะไม่ค่อยร้อนแล้วแต่เมื่อกระทบกับอากาศเย็นยามบ่ายก็ยังมีไอน้ำลอยเอื่อยขึ้นมาให้เห็นบ้างเล็กน้อย

หนุ่ย..เด็กหนุ่มชาวกรุงได้ขับรถออกไปพร้อมกับดาหญิงคนรักก่อนหน้าที่ปรีชาจะเก็บของเสร็จสักสองสามนาทีเห็นจะได้   ปรีชาพิงคันเบ็ดไว้ที่โคนต้นฉำฉาอย่างเช่นทุกวันแล้วจัดแจงสะพายย่ามและกระติกน้ำออกเดินไปตามเส้นทางที่นอกจากเขาแล้วก็เห็นจะมีแต่พวกกระรอกหรือหนูเท่านั้นที่จะใช้เส้นทางนี้   เขาเดินผ่านป่าละเมาะมาข้ามสะพานไม้ที่เขาทำขึ้นเองโดยเอาต้นไม้ที่ล้มอยู่แถวนั้นมาทอนกิ่งออกแล้วพาดเหนือลำธารเล็กๆ ที่มีน้ำลึกประมาณสองคืบในหน้าแล้งแต่จะสูงขึ้นประมาณหนึ่งเมตรในยามหน้าฝน   น้ำที่นี่ใสมากจนมองเห็นก้อนกรวดที่นอนนิ่งอยู่ข้างล่าง น้ำในลำธารเป็นน้ำซับน้ำซึมที่ไหลออกมาจากตาน้ำบนเขาท้ายหมู่บ้านแล้วไหลผ่านหมู่บ้านไปทำหน้าที่เป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงชาวบ้านก่อนที่จะไหลลงไปรวมตัวกันที่ “หนองน้ำรวมใจ”   

ด้วยความที่อายุมากแล้วทำให้ระบบการทรงตัวของเขาทำงานได้ไม่ค่อยดีเหมือนตอนหนุ่มๆ ที่เคยเดินข้ามสะพานไม้ได้อย่างสบาย  เขาจึงต้องตัดไม้ไผ่มาทำเป็นราวสะพานเอาไว้ประคองตัวเวลาเดินข้าม  พอข้ามสะพานมาแล้วปรีชาเดินทอดน่องลัดเลาะลำธารไปเรื่อยๆ ไม่นานก็ถึงบ้าน  เขาเดินเข้าทางประตูรั้วไม้ไผ่หลังบ้านที่มีแต่ผู้กองกิตติสหายเก่าเท่านั้นที่รู้ว่ามันเป็นอีกทางหนึ่งที่จะเข้าไปหาปรีชาได้เมื่อประตูรั้วหน้าบ้านปิด

“ อาว...อาว...อาว...”  ปรีชาก้มลงไปเอื้อมมือลูบหัวเป็นการให้รางวัล ไอ้โจ  ตามธรรมเนียมทุกครั้งที่เขากลับมาถึงบ้าน  โจสุนัขตัวผู้ ขนปุยร่างใหญ่  พันธุ์เยอรมันเชฟเฟิร์ต  มันจำเสียงฝีเท้าของปรีชาได้  และมันจะมานั่งอยู่หน้าประตูรั้วรอการกลับมาของปรีชาทุกครั้งที่เขาออกไปที่หนองน้ำ
“เป็นไง วันนี้ไม่มีแขกมาใช่ไหม?”   เป็นคำพูดที่ปรีชามักจะพูดกับมันเมื่อสังเกตุเห็นว่า  โจอยู่ในอาการสงบ   ไม่แสดงความตื่นเต้นออกมาให้เห็น นอกจากใช้ปากงับย่ามที่ปรีชาสะพายอยู่
“ เอ้า..เอาไปเก็บที่เดิม ”   ปรีชาปลดย่ามลงจากไหล่ขมวดปมสายสะพายแล้วยื่นให้โจใช้ปากงับที่ปม แล้วมันก็เดินนำหน้าปรีชาเพื่อที่จะเอาย่ามไปไว้ข้างเก้าอี้ที่เขานั่งประจำ

“หมุ่ย!...” เสียงทุ้มๆ ของฆ้องทองเหลืองขนาดเส้นฝ่าศูนย์กลางประมาณ 150 เซนติเมตร ดังกังวาลมาจากหน้าบ้าน   เจ้าโจที่กำลังจะเอาย่ามไปเก็บเกิดความลังเลใจหยุดหันมามองหน้าปรีชาที่กำลังเดินตามหลังมันมา
“ เอาย่ามไปเก็บก่อน แล้วเดี๋ยวไปดูกันว่าใครมา”  โจมันไม่เข้าใจคำพูดทั้งหมดที่ปรีชาพูดกับมันแต่มันจำได้ว่าคำว่า “เอาไปเก็บ” คืออะไร มันจึงหันกลับไปแล้วออกวิ่งนำหน้าปรีชาไปเข้าประตูเล็กที่เขาทำไว้ให้มันโดยเฉพาะ แล้วมันก็วิ่งกลับมาหาปรีชาเพื่อที่จะไปดูว่าใครมาหน้าบ้าน

มองผ่านรั้วไม้ระแนงออกไปหน้าบ้านหาดูอาคันตุกของเขา  ปรีชาจำได้ว่านั่นมันเป็นยักษ์ที่มาทำให้เขาตื่นก่อนหน้านี้ที่ริมหนองน้ำ   แต่ตอนนี้มันอยู่ในอาการสงบที่หน้าบ้านเขา  ไม่ส่งเสียงคำรามใดๆ ออกมาให้รำคาญหู   มีหนุ่มสาวสองคนยืนอยู่หน้าบ้านใต้ซุ้มประตูที่ปกคลุมไปด้วยเถามยุรดาซึ่งกำลังออกดอกสีแสดสะพรั่ง  หญิงสาวเอวบางร่างน้อยยืนกอดแขนซ้ายชายหนุ่มไว้แน่นราวกับหาที่พึ่งพิงเมื่อไม่แน่ใจว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังประตูบานใหญ่นั้นคืออะไร   เพียงแค่ได้ยินเสียงฆ้องใบใหญ่ดังทุ้มๆ กังวาลสะท้านเข้าไปในทรวงก็สร้างความฉงนใจให้เธอไม่น้อยเพราะกริ่งที่หนุ่ยพึ่งกดสวิทซ์ไปเสียงมันไม่ดังเหมือนเสียงกริ่งที่เธอเคยรู้จักในสามัญสำนึกมาก่อน

ปรีชาเดินเข้าไปถอนกลอนประตูไม้บานเล็กแล้วเปิดประตูออกไปดูว่าอาคันตุกของเขาวันนี้เป็นใคร
“ สวัสดีครับ”  
หนุ่ยหันหน้ามาทางประตูเล็กที่ปรีชาเปิดออกแล้วกระพุ่มมือขึ้นกล่าวทักผู้เป็นเจ้าของบ้านก่อน  
“เราหาที่พักสักสองสามคืน ที่นี่มีห้องพักไหมครับ?”
ปรีชายกมือขึ้นรับไหว้  “มีครับ..เข้ามาดูก่อนว่าคุณจะถูกใจไหม”
“ค่ะ..ค่ะ.. ขอเข้าไปดูก่อนค่ะ”  ดารีบชิงตอบก่อนที่หนุ่ยจะพูดอะไรออกไป
“เชิญครับ”  ปรีชาเชิญทั้งสองคนเข้ามาข้างในแล้วหันไปพูดกับเจ้าโจ “ โจ..เฝ้า”   เจ้าโจก็หมอบลงนอนอยู่หลังประตูรั้วอย่างว่าง่าย

ปรีชาเดินนำหน้าคนทั้งสองไปโดยไม่สนใจว่าทั้งสองคนจะตามมาในระยะเท่าใด
“ไป..เราเข้าไปดูห้องพักกันเถอะ เผื่อดาไม่ชอบใจยังไงก็จะหาที่ใหม่ได้ทันก่อนมืด”  พอชวนเสร็จหนุ่ยก็โน้มตัวกำลังจะก้าวเดินแต่ถูกดาฉุดแขนไว้
“หนุ่ย! เมื่อกี้หนุ่ยยกมือไหว้เขาทำไม  ดาว่าตาคนนี้แหละที่ดาเห็นนั่งอยู่ใต้ต้นฉำฉาที่เราจอดรถเมื่อกี้นี้นะ  สงสัยจะเป็นคนสวนหรือไม่ก็คนเฝ้าบ้านนี้แหละ”   ดากระซิบกระซาบทำนองต่อว่าหนุ่ย
“ไม่เป็นไรหรอกดา   เรามาบ้านเขาไม่ว่าเขาจะเป็นใครเราก็ต้องยกมือไหว้เขาก่อน   เราต้องให้เกียรติเขาแล้วนี้เขาก็เป็นผู้ใหญ่กว่าเรามาก พ่อหนุ่ยเคยบอกว่าการยกมือไหว้คนเนี่ยอย่างน้อยเขาก็ไม่ดูถูกสกุลเราว่าไม่มีการศึกษาอบรม   คนเราหากทำอะไรไม่เป็นเลยในชีวิตแต่ยกมือไหว้คนเป็น  ขอโทษคนเป็น  ขอบคุณคนเป็นเท่านี้ก็ช่วยให้มีชีวิตอยู่รอดได้”  วิภาดา  มองหน้าหนุ่ยแฟนหนุ่มด้วยไม่เชื่อหูตัวเองว่าหนุ่ยจะพูดอะไรแบบนี้ได้  คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยจนแต่งงานแล้วหนุ่ยจะตามใจและเข้าข้างเธอเสมอ

“นี่หนุ่ยกำลังว่าดาไม่มีการศึกษาหรือพ่อแม่ไม่สั่งสอนเหรอ   ยังไงกันเนี่ย พูดให้ดีๆ นะ”   วิภาดาผละตัวออกไปยืนเท้าสะเอวต่อว่าหนุ่ยด้วยความไม่พอใจ
“ผมไม่ได้ว่าดานะ   เพียงแค่เล่าให้ฟังว่าพ่อเคยสอนผมไว้ว่าอย่างไรก็เท่านั้นเอง  มันไม่ควรจะทำให้ดาต้องโกรธขนาดนี้   เอาน่า..ทำอารมณ์ให้ดีเรากำลังมาฮันนีมูนกันนะจ๊ะ  ผมขอโทษก็แล้วกันผมไม่ได้ตั้งใจ....นะ..นะ.คนดี”

ทุกครั้งที่มีเรื่องกันหนุ่ยจะเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเขามาเป็นคำว่าผมทันที แต่แล้วก็เช่นเคยที่เขาต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้เธอ

“ นะ เราไปดูห้องกันเถอะ ลุงคนนั้นเขาไปโน่นแล้ว”  หนุ่ยเอื่อมมือไปจับข้อมือดาเพื่อที่จะพาเธอไปดูห้อง   แต่ดาก็ยังคงขัดขืนด้วยการพยายามดึงมือกลับพอรู้ว่าเธอสู้กำลังข้อมือของหนุ่ยไม่ได้จึงต้องยอมเดินตามเขาไปทั้งๆ ที่ปากยังบ่นพึมพำ
“ทีหลังถ้าพูดกับดาอย่างนี้อีกละก้อ   ดาไม่ยอมจริงๆ”

ทั้งสองเดินผ่านฆ้องใบใหญ่ที่แขวนอยู่ใต้ซุ้มหลังคาทรงไทย  ตามปรีชาเข้าไปด้านในบริเวณบ้านซึ่งปรีชาเดินล่วงหน้าไปหยุดยืนอยู่หน้าบ้านพักหลังแรก จนทั้งสองคนมาถึง 

“ผมมีทั้งหมด 4 หลัง ทุกหลังเป็นทรงคล้ายๆ กันจะแตกต่างก็ตรงที่มุมมองของแต่ละหลังไม่เหมือนกัน   หลังนี้ “เหมือนฝัน” หันหน้าไปทางทิศตะวันออก  ตอนเช้าถ้าคุณตื่นเช้าก็จะเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นประมาณ 6 โมงครึ่ง  ห้องนอนอยู่ทางทิศเหนืออากาศเย็นสบาย   หากคุณต้องการตื่นสายๆ ก็จะไม่ถูกรบกวนโดยแสงแดดตอนเช้า ห้องน้ำทุกหลังเป็นชักโครก  มีฝักบัวพร้อมเครื่องทำน้ำอุ่น   ส่วนหลังถัดไปที่คุณเห็นนั้นเราเรียกมันว่าโรงครัว  เปิดตลอด 24 ชั่วโมง   หากใครหิวก็สามารถไปหาอะไรทานได้  เดี๋ยวผมจะพาคุณไปดู  ตอนนี้เชิญคุณทั้งสองขึ้นไปชมก่อนว่าจะถูกใจหลังนี้ไหม”

หนุ่ยกลับลงมาด้วยสีหน้าที่พึงพอใจ  ส่วนดายังต้องมีอีกหนึ่งคำถาม “ที่นี่ไม่มีแอร์หรือค๊ะ”
“ไม่มีหรอกแม่หนู  ที่นี่อากาศเย็นตลอดทั้งปี  หลังสี่ทุ่มไปแล้วควรปิดหน้าต่างให้หมด  น้ำค้างมันแรงและอากาศเย็นมาก”
“ ลุงครับผมพอใจสภาพบ้านแต่อยากจะดูอีกสามหลังว่ามีมุมมองต่างกันอย่างไร   ขอผมดูได้ไหมครับ”
“ ได้ แต่เดี๋ยวเราไปที่โรงครัวหาอะไรดื่มกันก่อนแล้วคุณค่อยไปเดินดูอีกสามหลังที่เหลือ” 

ทั้งสามคนเดินออกไปที่โรงครัวซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างบ้านทั้ง 4 หลัง   ปรีชาเดินไปหยิบน้ำในตู้เย็นออกมารินใส่แก้วให้แขกของเขา

“เชิญดื่มน้ำกันก่อน  น้ำที่นี่เป็นน้ำแร่ไหลมาจากภูเขา  ผ่านขบวนการฟิลเทรชั่น รีเวิร์สออสโมซีสและฆ่าเชื้อโดยแสงอัลตราไวโอเล็ตและโอโซนมาแล้ว  เรามีเครื่องกรองของเราเองอยู่ด้านหลัง  ผมส่งตัว อย่างน้ำไปให้สถาบันอาหารและยาตรวจสอบแล้ว  มีแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายในอัตราส่วนที่เหมาะสมหลายอย่างทั้งแคลเซี่ยม แมกนีเซี่ยม โปแตสเซียม โซเดียม สังกะสี ฟลูออไรด์ และอีกสองสามอย่างผมก็จำไม่ค่อยได้   ทางซ้ายมือนั้นเป็นส่วนทำครัวมี 4 เตาเครื่องครัวก็อยู่ตามตู้ตามลิ้นชัก   อาหารสดพวกหมู ไก่ ปลา อยู่ในตู้แช่ ผักสดจะมีบางส่วนอยู่ในตู้เย็น  นอกนั้นก็หาได้ในสวนผักบริเวณรอบๆ โรงครัวนี้ ช่วงนี้อากาศเย็นตั้งโอ๋ กับปวยเล้งกำลังงาม  หากคุณชอบสลัดก็มีผักกาดแก้วอยู่ทางด้านโน้น”   อธิบายเสร็จปรีชาก็หันไปถามแขกสาวของเขา
 
“แม่หนู ชื่ออะไรนะ ทำอาหารเป็นไหม?”
“ดาคะ...วิภาดา...ดาทำกับข้าวไม่เก่ง ส่วนใหญ่หนุ่ยเขาจะเป็นคนทำ หนุ่ยชอบทำกับข้าว อร่อยด้วยคะ”
“ในห้องครัวมีตำราทำอาหารหลายชนิด   หลายคนที่มาพักที่นี้ก็เปิดตำราอาหารกัน  เราให้โอกาสทุกคนได้ทำ ใครอยากทำอะไรก็ทำแต่ก็ต้องบอกกันก่อนเผื่อคนกินเขาจะได้ทำใจเตรียมไว้หรือไม่ก็มาตกลงกันก่อนว่าใครจะทำอะไรอาหารจะได้ไม่ซ้ำกัน   ส่วนความอร่อยนั้นไม่ต้องพูดถึง  ความอร่อยส่วนใหญ่เกิดขึ้นมาจากความพอใจที่ได้ทำเองบ้าง   ความหิวบ้าง  บรรยากาศพาไปบ้าง   บางทีมารยาททางสังคมก็ทำให้มันอร่อยขึ้นมาได้แต่ส่วนใหญ่ทำออกมาแล้วก็ไม่เหลือ  ที่นี่เราไม่มีแม่ครัว  ทุกคนจะทำกันเอง  แม่บ้านก็เป็นชาวบ้านในหมู่บ้านนี้แหละ เธอจะมาทุกๆ สองวัน”
“คุณลุงครับ” หนุ่ยชี้ไปยังอีกมุมหนึ่งของห้อง
“นั่นอะไรครับ ที่ผ้าคลุมอยู่”
“ ตรงนั้นเป็นเครื่องดนตรี  ที่ผ้าคลุมนั้นเป็นกลองชุด  ส่วนคีย์บอร์ดกับกีตาร์อยู่ในตู้ไม้นั้น  ลูกลุงเขาชอบเล่นดนตรี   เวลาเขามาพร้อมหน้าก็จะตั้งวงกันแต่ก็นานๆ ครั้ง   เขาไม่หวงหากใครเล่นเป็นก็เอาออกมาเล่นได้แต่เขาขอให้เก็บไว้ในสภาพเดิมหลังจากเล่นเสร็จแล้ว คุณเล่นดนตรีเป็นหรือ ”
“ เคยเป็นครับ  ผมเคยเล่นกีต้าร์ตอนเป็นเด็กๆ  แต่ลืมไปหมดแล้วครับ” 
“คุณจะไปดูบ้านอีกสามหลังที่เหลือไหม”  ปรีชาตัดบทเปลี่ยนเรื่องหลังจากที่ดื่มน้ำกันเสร็จ
“หลังที่คุณเห็นนั้น “ชมจันทร์” หันหน้าไปทางทิศเหนือบ้านที่นี่ทุกหลังเป็นหลังคาสองชั้น  ชั้นบนเป็นกระเบื้องเลื่อนเปิดออกได้ชั้นล่างเป็นกระจกกันน้ำค้าง  ถ้าเปิดตอนกลางคืนสามารถมองออกไปเห็นดวงจันทร์ได้ตลอดคืน  หากคุณเดินตามทางนี้ไปหลังกอไผ่โน้นเป็น “สนทยา” ตัวบ้านหันหน้าไปทางทิศตะวันตก   ช่วงเย็นๆ คุณจะมองเห็นวิวยามเย็นอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขา  ถ้าชอบถ่ายรูปขาตั้งกล้องก็อยู่ในบ้านนั่นแหละ   กล้องส่องทางไกลก็ดูเหมือนว่าจะอยู่ที่นั่นด้วย ดูนกดูคนหาปลาก็เพลินดี   ส่วนอีกหลังหนึ่งทางโน้น “ ศาลาริมน้ำ” หันหน้าไปทางทิศใต้ตามสายน้ำ  กลางคืนหากคุณเปิดไฟริมน้ำคุณจะเป็นปลาหลายอย่างมาคอยกินแมลงที่ตกลงไปในน้ำ   ส่วนผมอยู่ในสวนด้านหลัง  คุณเดินตามแนวการะเวกนี้ไปประมาณร้อยเมตรผมจะอยู่ตรงนั้น  มีอะไรคุณก็ไปหาผมได้ ”
“คุณลุงครับเท่าที่ฟังคุณลุงเล่ามาผมชักจะชอบที่นี้แล้วละ   แต่ผมยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะพักหลังไหน  จริงไหมจ๊ะดา”   หนุ่ยหันไปถามภรรยาสาวของเขา ดาไม่ตอบได้แต่ยิ้มน้อยๆ
“ งั้นเชิญคุณปรึกษากันก่อน  หรือจะเดินไปดูรอบๆ ก็ได้  บ้านทุกหลังไม่ได้ล๊อคกุญแจ   หากตัดสินใจได้แล้วว่าจะพักหลังไหนก็ไปขับรถเข้ามาได้เลย   สวิทซ์เปิดประตูใหญ่อยู่ที่ซุ้มฆ้อง   เป็นเชือกสองเส้นใช้วิธีดึง  สีเขียวใช้สำหรับเปิดเวลาปิดก็ใช้สีแดงหรือคุณจะบอกให้เจ้าโจทำก็ได้  มันทำเป็น  ผมฝึกมันแล้ว  เพียงแต่คุณบอกมันว่า  “โจเปิด” มันก็จะเปิดให้คุณ  พอเข้ามาแล้วก็บอกมันอีกทีว่า “โจปิด” มันก็จะทำหน้าที่ปิดประตูเอง   แล้วมันจะดมกลิ่นตามไปดูว่าคุณพักอยู่ที่บ้านหลังไหน  ถ้าตัดสินใจแล้วคุณช่วยหยิบลูกปิงปองในกล่องหน้าบ้านให้มันหน่อย  เดี๋ยวมันจะเอามาให้ผมเอง   เชิญตามสบายนะ ผมขอตัวเข้าบ้านก่อน   วันนี้ไปตกปลามารู้สึกเหนียวตัว   ถ้าคุณชอบ เดี๋ยวหกโมงครึ่งเรามาทำครัวด้วยกัน   เชิญตามสบายนะ”
“ครับ ขอบคุณครับ” 

สองสามีภรรยาหนุ่มสาวมองดูปรีชาเดินจากไป
“ ดา ผมว่า....”  ยังไม่ทันที่หนุ่ยจะพูดประโยคของเขาจบดาก็ชิงกระซิบกระซาบพูดขึ้นมา
“ หนุ่ยๆ..หนุ่ยว่าไหมตาลุงคนนี้มีอะไรแปลกๆ ทีแรกดานึกว่าเขาเป็นคนสวนหรือไม่ก็เป็นคนงานเฝ้าที่นี่  แต่พอฟังเขาพูดดาว่าเขาต้องมีอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนคนอื่น  เนี่ยอยู่กับหมา   แล้วไอ้หมานี่มันก็ดูเหมือนว่าจะรู้เรื่อง  มันไปไหนแล้วละหรือว่ามันคงเฝ้าอยู่หน้าประตูจริงๆ ดาอยากรู้จริงๆ เลยว่ามันจะปิดเปิดประตูได้เองอย่างที่แกว่าหรือเปล่า....เนี่ยหนุ่ย...ตาลุงคนนี่แหละที่ดาเห็นเมื่อกี้ ตัวผอมๆ ใส่เสื้อหม้อฮ้อมแบบนี้แหละ   เห็นไหมแกบอกว่าวันนี้ไปตกปลามา  ดาอายจังเลยง่า... นี่แกคงรู้หมดว่าเราทำอะไรกัน”
“ไม่หรอกดา  แกไม่รู้หรอกเชื่อหนุ่ยซิ  ทั้งเสียงรถเสียงเพลง  แกไม่ทันสังเกตุหรอกว่าอะไรเป็นอะไร  ไป..เราไปดูบ้านพวกนั้นกันเถอะ หนุ่ยว่ามันน่าสนใจทุกหลังเลย  หรือว่าเราจะไปอยู่หลัง “ชมจันทร์” จะได้นอนดูดาวดูดวงจันทร์กันทั้งคืน   ดีไหมจ๊ะที่รัก”
“ก็ไปดูก่อนเถอะ จะดีจริงอย่างที่แก่ว่ารึเปล่าก็ไม่รู้”
“ไป...เราไปกัน”
“หนุ่ย นี่เขาเรียกต้นอะไรเนี่ย   ดาชอบจังรากมันเยอะดีเวลาเราเดินรอดซุ้มมันอย่างนี้   ดูซิเขาทำซุ้มยาวไปถึงหน้าบ้านเลย”
“ถ้าจำไม่ผิด   เขาเรียกว่าม่านบาหลี   โตเร็วขยายพันธุ์ง่าย   แค่เอาเถามันจิ้มดินที่ชื้นๆ หน่อยหรือในกระถางก็ได้ไม่กี่วันก็แตกยอด   ที่กรุงเทพฯก็มีขายเยอะแยะ”
“ไม่เอาหละ ที่กรุงเทพฯเราก็ต้องเสียเวลาขับรถไปหาซื้อ  เนี่ยวันกลับหนุ่ยลองของแกสักหน่อยซิ นะ....นะ... เราจะได้เอาไปปลูกที่บ้านกัน”
“ได้จ๊ะ แต่หนุ่ยว่าตอนนี้เราขึ้นไปดูในบ้านกันเถอะ” 

ทันทีที่หนุ่ยเปิดประตูบ้านออก

“ วู้...ผ้าปูที่นอนสีขาว  เตียงหวายถัก  แบบนี้แหละหนุ่ยที่ดาบอกว่าดาอยากได้   ดูซิทำไมมันมาอยู่ที่นี่ได้   แหม.....”   เสียงดาร้องด้วยความดีใจอย่างออกนอกหน้า  จนทำให้หนุ่ยแทบจะสรุปได้ว่าภรรยาของเขาคงจะพักอยู่ที่บ้านหลังนี้
“ขอดาลองนอนดูหน่อยนะ” ว่าแล้วเธอก็กระโจนขึ้นบนเตียงอย่างไม่สนใจว่าหนุ่ยจะทำอะไร
“ อา...นุ่มจัง  เย็นสบายดีด้วย   หนุ่ยดูซิ...”   ดาดึงผ้าคลุมเตียงขึ้นมาคลุมตัวเธอแล้วกลิ้งไปบนเตียงให้ผ้าม้วนอยู่รอบตัวเธอเหลือเพียงศีรษะโผล่ออกมาแล้วร้องบอกหนุ่ยเหมือนเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่กำลังเรียกร้องความสนใจ
“ จ้า...จ้า...เดี๋ยวหนุ่ยขออ่านตรงนี้ก่อน”  หนุ่ยยืนอยู่บ้างประตูอ่านข้อแนะนำการใช้ห้องในแผ่นกระดาษสีขาวที่ใส่กรอบรูปแขวนอยู่เหนือสวิทซ์ไฟ

การใช้ห้อง   หนึ่ง หลังจากที่เข้ามาในห้องแล้ว   กรุณาเปิดไฟ ระบบไฟจะทำงานประมาณสิบนาทีหากคุณไม่ต้องการพักที่บ้านหลังนี้ ไม่ต้องปิดไฟ  เพียงคุณปิดประตูไว้ระบบไฟก็จะปิดตัวเองลงโดยอัตโนมัติ  สอง หากคุณต้องการพักที่บ้านหลังนี้กรุณาเสียบดาบที่คุณเห็นข้างผนังนี้เข้าไปให้สุดและคงไว้อย่างนั้นตลอดเวลาที่คุณพักอยู่ที่นี่เพื่อที่ระบบไฟของบ้านหลังนี้จะทำงานได้อย่างสมบูรณ์   สาม เมื่อครบกำหนดวันกลับ  หลังจากที่คุณเก็บของเรียบร้อยแล้วกรุณาอย่าชักดาบ เพียงแค่ปิดประตูไว้ก็พอแล้ว   สี่ตลอดเวลาที่คุณอยู่ที่นี่หากคุณไม่คิดหรือไม่พยายามที่จะชักดาบ  ระบบการให้บริการที่นี่จะสมบูรณ์แบบทุกอย่างและเราก็สามารถให้บริการคุณได้อย่างครบถ้วนเช่นกัน  ขอให้คุณมีความสุขกับการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ในครั้งนี้   ขอขอบคุณ....  แหมใครนะช่างคิดเหลือเกิน....  กรุณาอย่าชักดาบ.... อ้าว...แล้วไม่เห็นบอกเลยว่าหลังคาเปิดยังไง”   

หนุ่ยหาสวิทซ์ควบคุมหลังคาไม่พบ
“ดาเห็นไหมจ๊ะ ว่าสวิทซ์ควบคุมหลังคาอยู่ที่ไหน?”  หนุ่ยหันไปถามดาที่ยังนอนอยู่บนเตียงพอดีเหลือบไปเห็นสวิทซ์ติดอยู่ที่ผนังข้างหัวเตียงพร้อมคำอธิบายในกรอบไม้
“อ้อ..อยู่นั่นไง ใกล้หัวเตียงนะ”  ว่าแล้วหนุ่ยก็กระโจนขึ้นไปบนเตียงแล้วขยับตัวมานอนพังพาบอยู่ที่ขอบเตียงเพื่อที่จะอ่านข้อแนะนำการปิดเปิดหลังคา
“ มีวิธีใช้บอกให้ด้วย”  หนุ่ยเปรยขึ้นมา  “ ดูเหมือนที่นี่ไม่ต้องใช้คนในการให้บริการเลยนะ   ทุกอย่างมีคำแนะนำให้หมดว่าจะใช้ยังไง....ฟังนะหนุ่ยจะอ่านให้ฟัง  
วิธีการเปิด-ปิดหลังคา”  หนึ่ง เมื่อคุณเสียบดาบให้ระบบไฟในบ้านนี้ทำงานอย่างสมบูรณ์แล้วระบบควบคุมหลังคาก็พร้อมที่จะทำงาน   สอง หากคุณต้องการเปิดหลังคาให้บิดสวิทซ์ไปทาง “ขวา” หนึ่งครั้งแล้วปล่อย  สวิทซ์ก็จะดีดกลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิมแล้วหลังคาก็จะเลื่อนเปิดจนสุดและหยุดด้วยตัวมันเอง สาม เมื่อคุณต้องการปิดหลังคาให้บิดสวิทซ์ไปทาง “ซ้าย” แล้วปล่อยสวิทซ์ก็จะดีดกลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิมแล้วหลังคาก็จะเลื่อนมาจนปิดสนิทและหยุดด้วยตัวมันเอง   สี่ ทุกครั้งที่คุณออกจากห้องหรือเมื่อคุณจะเดินทางกลับกรุณาปิดหลังคาให้เรียบร้อย  ขอบคุณครับ ” 

“อะไรนะหนุ่ย....แล้วเขารู้ได้ยังไงว่าเราพึ่งแต่งงานกัน   หนุ่ยบอกเขาหรือ”  ดาถามหนุ่ยด้วยความพาซื่อเมื่อได้ยินคำว่า“น้ำผึ้งพระจันทร์” หนุ่ยจึงพลิกตัวไปหาดาที่คลี่ผ้าคลุมออกเป็นวงกว้างแล้วเอาแขนทั้งสองออกมานอกผ้าเผยให้เห็นเนินอกอันอวบอั๋นสีเนื้อนวลทั้งสองข้างของเธอที่ทะลักล้นออกมานอกคอเสื้อ    เวลาที่เธอหายใจทำให้เนินปทุมของเธอกระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะราวกับกำลังสะกดหนุ่ยให้เข้าสู่ภวังค์อันเวิ้งว้างที่ไม่อาจควบคุมได้ด้วยสติ   และหนุ่ยก็กำลังจ้องมันเหมือนคนไร้สติแต่ไม่ไร้จุดหมายทั้งๆ ที่หูอื้อตาลาย   พลังอันเกิดจากสัญชาติญาณได้ขับเคลื่อนกายของหนุ่ยเข้ามาหาดาอย่างไม่ละสายตา  ในขณะที่ดาเองก็เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความกระหายของหนุ่ย   เธอจึงยกมือทั้งสองข้างขึ้นเพื่อที่จะปิดเนินของเธอแต่ก็ช้ากว่าแรงขับของหนุ่ยที่คุกรุ่นอยู่ภายใน   เธอจึงได้แต่ใช้มือทั้งสองประคองใบหน้าของหนุ่ยที่กำลังบรรจงซุกไซ้อย่างทะนุถนอมไปตามร่องอกของเธอราวกับกำลังจะตามหาอะไรสักอย่าง  สัมผัสจากริมฝีปากนุ่มๆสลับกับการทิ่มแทงของหนวดที่ผ่านการโกนมาแล้วสองวันของหนุ่ยมันทำให้ดาถึงกับแอ่นอกขึ้นมาเหมือนกับจะดันใบหน้านั้นออกไปแต่ทว่ามือทั้งสองข้างของเธอกลับดึงใบหน้านั้นให้ต่ำลงมากลายเป็นแรงกดที่อัดแน่นเข้าไปในทรวงจนเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ในอก  หัวใจของเธอเพิ่มพลังสูบฉีดมากขึ้นจนเลือดในกายเธอเร่าร้อนพลุ่งพล่านไปทุกขุมขน   ผิวขาวนวลของเธอทำให้เห็นได้ชัดว่าใบหูทั้งสองข้างนั้นแดงกล่ำ   ริมฝีปากอวบอัดเต็มไปด้วยเม็ดเลือดที่เร่าร้อนจนเป็นสีชมพูระเรื่อเผยอขึ้นมาละล่ำละลัก

“ ห..นุ่..ย....ห..นุ่..ย...ขา...ฟังดาก่อน   เรามาดูบ้านนะจ๊ะ   หนุ่ยจะลองเปิดหลังคาไม่ใช่เหรอ”
“เปล่าหรอกจ้าที่รัก   เราจะอยู่ที่บ้านหลังนี้แหละ   หลังคาเอาไว้ค่อยเปิดคืนนี้ก็ได้หนุ่ยรู้แล้วว่ามันเปิดยังไง  แต่ตอนนี้หนุ่ยอยากเปิดอย่างอื่นมากกว่า”  

หนุ่ยพูดเสียงอู้อี้ทั้งที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นจากอกของดา   แต่ด้วยความเป็นลูกผู้หญิง “สำนึกยางอาย” ทำให้ดาต้องหยุดหนุ่ยก่อนที่เธอจะหักห้ามใจตัวเองไว้ไม่อยู่เหมือนหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา  เธอผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ พยายามปล่อยเปลวราคะที่กำลังโหมอยู่ข้างในให้ค่อยๆ มอดลงไปพร้อมกับทิ้งตัวให้ยุบลงไปในที่นอน   แล้วสรรหาเหตุผลร้อยแปดมาอ้างเพื่อให้หนุ่ยได้สติทั้งๆ ที่มือทั้งสองของเธอยังขยุ้มผมของหนุ่ยอยู่

“ หนุ่ยขา...ประตูยังเปิดอยู่...รถยังจอดอยู่ข้างนอกแล้วลุงคนนั้นเขาก็ยังไม่รู้เลยว่าเราจะพักอยู่ที่นี่หรือเปล่า.... เรายังไม่ได้เอาลูกปิงปองส่งไปให้เขาเลย  ไปทำอะไรให้เสร็จก่อนซิคะที่รัก” 
แต่ด้วยความอาลัยในอารมณ์เธอจึงเกร็งตัวผงกหัวขึ้นมาอีกครั้งแล้วใช้ฟันงับๆ ไปที่ติ่งหูของเขาเบาๆ 
“ อื้อ..ฮื้อ...ฮื้อ...อย่าทำให้ดาต้องเสียนิสัยซิคะคนดี...ไปทำอะไรให้เสร็จก่อน...”
เหมือนเด็กว่าง่าย  ที่รู้ว่าเมื่อทำอะไรเสร็จแล้วจะได้รับรางวัลที่ตนต้องการหนุ่ยจึงเลื่อนตัวขึ้นไปใช้จมูกซุกไซ้ที่แก้มสีชมพูนุ่มๆ ของดาพร้อมกับสูดกลิ่นหอมๆ ของเครื่องสำอางค์และกลิ่นสาวของเธอ 
“ได้จ๊ะที่รักเราไปเอารถเข้ามากันเถอะ”
  
หนุ่ยประคองตัวดาให้ลุกขึ้นพร้อมกับเขา  แล้วเขาก็ขยับเอวกางเกงให้กลับเข้ารูปพร้อมกับดึงชายเสื้อออกมาคลุมบางอย่างที่ตุงอยู่ในกางเกงไว้อีกชั้นหนึ่งเพื่อความมั่นใจขณะที่สายตาก็มองดูดากำลังสอดมือเข้าไปใต้ชายเสื้อเพื่อจัดทรงทั้งสองให้เข้าที่แล้วปลดกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อที่หลุดลุ่ยไม่อยู่กับที่ออกปล่อยผมยาวที่ย้อมเป็นสีน้ำตาลอ่อนแซมด้วยไฮไลท์สีบรอนเงินเป็นริ้วๆ ของเธอให้ยาวสยายลงมาแล้วปัดผมไปข้างหลังคลุมไหล่ไว้อย่างเป็นธรรมชาติ  เขาดึงตัวเธอเข้ามากอดไว้แนบอกแล้วจุมพิศไปที่หน้าผากนูนเด่นของเธอ  อีกครั้งหนึ่ง
“หนุ่ยรักดาที่สุดในโลกเลยจ๊ะ”
“ดาก็เหมือนกัน”
“ อ๋อ จริงเหรอ  ดาก็รักดาที่สุดในโลกเหมือนกันหรือจ๊ะ”   
โดนหนุ่ยหยอกไม้นี้ดาตั้งตัวแทบไม่ติดจึงงอนสะบัดหน้าค้อนเป็นวง  แล้วหมุนตัวทำท่าจะผละออกจากวงแขนของหนุ่ย  เขาจึงรัดตัวเธอให้กระชับแน่นเข้ามาเป็นจังหวะพร้อมกับกระซิบบอกที่หลังหูของเธอเบาๆ
“เวลาดางอนแบบนี้รู้ตัวรึเปล่าว่ามันยิ่งทำให้หนุ่ยไม่อยากปล่อยแล้วก้ออยากจะ.... อย่าทำแบบนี้บ่อยนะ...รู้มั้ย...รู้มั้ย...”
“อย่าซิคะ   ดาจั๊กกระจี๋  ดูซิขนลุกหมดเลย  ไปกันรึยังคะ”

ดาตัดบท  แล้วทั้งสองก็เกี่ยวแขนคลอเคลียกันเดินออกจากบ้านตามทางไปประตูใหญ่เพื่อทีจะเอารถเข้ามา   ขณะเดินไปนั้นดาได้กลิ่นหอมของดอกไม้โชยมาเข้าจมูกเธอจึงสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ พร้อมกับผงกศรีษะที่ซบอยู่ข้างแขนของหนุ่ยขึ้น

“หนุ่ยขา   ดอกอะไรนะหอมจังเลย  หนุ่ยได้กลิ่นมันมั้ยค๊ะ”
“อื้อ..กลิ่นดอกการะเวกงัยจ๊ะ  ทั้งดอกทั้งกลิ่นคล้ายกับดอกกระดังงา บางคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นดอกกระดังงา  การะเวกเนี่ยมันจะส่งกลิ่นหอมตอนบ่ายๆเย็นๆ  สักห้าหกโมงนี่แหละแล้วมันก็จะร่วงเป็นกลีบๆลงมา  ที่กรุงเทพฯก็มีตามข้างถนน   สมัยหนึ่งที่มหาจำลองเป็นผู้ว่าฯท่านให้ปลูกบนฟุตปาททำซุ้มเหล็กยาวไปตามแนวถนนหวังจะให้มันเลื้อยขึ้นไปเกาะเป็นร่มเงาให้กับคนที่เดินไปมาแต่มันก็ไม่ค่อยงาม ดอกก็ไม่ค่อยมีเพราะมลภาวะเป็นพิษเยอะ   ปุ๋ยก็ไม่ได้   น้ำก็ไม่ถึง แถมกิ่งมันเลื้อยไปถึงไหนมันก็เกาะแน่นดึงไม่ออก   ต้องปีนขึ้นไปตัดเป็นภาระทั้งพนักงานทั้งคนที่อยู่แถวนั้น  พวกเขาคงอยากจะให้มันตายๆ ไปเสียให้หมด  ต้นไหนโชคดีได้อยู่หน้าบ้านคนรักต้นไม้เขาก็จะให้ปุ๋ยรดน้ำแล้วมันก็ผลิดอกออกผลให้คนแถวนั้นได้ชื่นใจเป็นการตอบแทนบุญคุณ   แต่หลังๆ มานี่ตามย่านการค้าเห็นพวกพ่อค้าแม่ค้าใช้เป็นที่มัดร่มมัดผ้ายางกันแดดกันฝนมั่ง   แขวนของขายมั่งเละเทะไปหมดแต่อีกมุมหนึ่งมันก็เหมือนกับพวกเขากำลังประจานความล้มเหลวในการบริหารจัดการของ กทม. งั้นแหละ”
“แต่ดาว่าดอกมันหอมดีนะ”
“ใช่   มันหอมดีและมันก็ควรจะอยู่ตามสวนอย่างนี้แหละไม่ใช่ตามถนนในกรุงเทพฯ”  

พอพูดถึงดอกการะเวกหอมเวลาห้าหกโมงเย็นทำให้หนุ่ยนึกขึ้นได้ว่าปรีชานัดเวลาไว้จึงปลดโทรศัพท์มือถือออกมาจากซองข้างเข็มขัดเพื่อดูเวลาซึ่งเดี๋ยวนี้โทรศัพท์มือถือเป็นอุปกรณ์ที่อำนวยความสะดวกเป็นอย่างมาก   เครื่องเดียวทำได้สารพัด  นอกจากเป็นโทรศัพท์แล้วยังเป็นกล้องถ่ายรูปยามฉุกเฉิน   เป็นคอมพิวเตอร์เล็กๆ รับส่งข้อมูลข่าวสารทางอินเตอร์เน็ท  ใช้เป็นเครื่องบันทึกเสียง  เป็นเครื่องนำทางผ่านระบบดาวเทียม  แต่คุณสมบัติที่เห็นชัดๆ และมีในทุกเครื่องคือใช้ดูเวลาเลยทำให้หลายคนเลิกใส่นาฬิกาไปโดยปริยาย   ไม่ต้องทนกับกลิ่นเหม็นอับของสายนาฬิกา   ไม่ต้องเสียเวลาไปหาร้านเปลี่ยนถ่านใหม่  ไม่ต้องคอยเขย่าหรือไขลานเพื่อไม่ให้มันหยุดเดิน ไม่ต้องอายใครว่าใส่นาฬิการาคาถูก  ไม่ต้องขาดความมั่นใจเพราะลืมใส่นาฬิกาออกจากบ้าน   วิวัฒนาการของโทรศัพท์มือถือจึงส่งผลกระทบให้กับวงการอุตสาหกรรมนาฬิกาเป็นอย่างมาก   หนุ่ยก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เลิกใช้นาฬิกาไปนานแล้วเพียงเพราะมีโทรศัพท์มือถือนั่นแหละ

“ โอ...นี่หกโมงจะครึ่งแล้ว   เราคงต้องเร่งหน่อยจ๊ะลุงคนนั้นเขานัดเราไว้ไม่ใช่เหรอ”   หนุ่ยเปรยขึ้นมาขณะที่เดินไปถึงหน้าบ้าน  เจ้าโจ..ยังคงนอนหมอบอยู่ที่เดิมกระดิกหางมองมาทางคนทั้งสองที่กำลังเดินมา  หูสองข้างของมันตั้งชันเตรียมพร้อมที่จะรับคำสั่งตามที่ถูกฝึกมา   ด้วยความอยากรู้กึ่งไม่เชื่อว่าเจ้าโจจะสามารถทำได้จริงอย่างที่ปรีชาว่า  ดาจึงขอให้หนุ่ยลองสั่งให้เจ้าโจเปิดประตูโดยใช้คำสั่งตามที่ปรีชาบอก

“โจ มานี่มา”   หนุ่ยหยุดยืนย่อตัวลงข้างๆ ซุ้มฆ้องใหญ่  เรียกเจ้าโจพร้อมกับตบขาตัวเองเบาๆ  เจ้าโจยังคงนอนกระดิกหางมองอยู่ที่เดิม   หนุ่ยจึงลองทำเหมือนเดิมอีกคราวนี้เจ้าโจคงแน่ใจว่าไม่มีอันตรายเกิดขึ้นกับมันแน่มันจึงค่อยๆ ลุกขึ้นวิ่งเหยาะๆ เข้ามาเลียมือที่หนุ่ยยื่นออกไปให้มัน   รู้สึกว่าโจมันเริ่มจะไว้ใจหนุ่ยขึ้นมาบ้างจึงก้มลงไปดมตามรองเท้าทำจมูกฟุดฟิดๆ  ดมตามขากางเกงแล้วเดินอ้อมไปข้างหลังดมก้นเดินอ้อมมาข้างหน้าดมตามเป้ากางเกงแล้วมันก็หันไปทางดาที่จับมือหนุ่ยยืนนิ่งอยู่ข้างๆ  มันดมรองเท้าดมขากางเกงเรื่อยขึ้นไปแล้วใช้จมูกของมันดันงุดๆ เข้าไปดมที่เป้ากางเกงของดา

“ว้าย! หนุ่ยดูมันซิ...ช่วยดาที...ช่วยเอามันออกไปทีไอ้หมาชีกอทำอะไรก็ไม่รู้..บ้าจริงๆ...เร็วซิหนุ่ย..ฮือ..ฮือ..ช่วยดาที”

ดาอายหน้าแดงยืนหนีบขาเงื้อแขนข้างหนึ่งขึ้นทำท่าจะตีเจ้าโจอีกมือก็เขย่าแขนหนุ่ยร้องขอความช่วยเหลือที่โดนเจ้าโจลวนลามต่อหน้าสามีหนุ่ม แต่หนุ่ยกลับชอบใจยืนหัวเราะที่  “แม้แต่เจ้าโจยังชอบหว่างขาของเธอ”  เขาค่อยๆ เอื้อมมือมาลูบหัวมัน
“ พอแล้วโจ  พอแล้ว  นั่นมันของข้า  ไม่เกรงใจกันเลยนะโว้ยพรรคพวก   แหมต่อหน้าต่อตาเชียว   อยู่ตัวเดียวมานานรึไงท่าจะไม่มีเมียละซิเรา..ฮึ”
เจ้าโจเปลี่ยนความสนใจหันมาทางหนุ่ยบ้าง
“ นี่เราจะพักกันที่นี่ ไหนลองเปิดประตูให้หน่อย เราจะเอารถเข้ามาข้างใน จะได้อยู่ด้วยกันไง”   โจมองหน้าหนุ่ยลึกลักเหมือนกับจะยังไม่เข้าใจในสิ่งที่หนุ่ยพูด  หนุ่ยหันไปยิ้มกับดา
“ มันท่าจะไม่เข้าใจ   หรือว่าเราต้องใช้คำสั่งว่ายังไงนะที่ลุงเขาบอกดาจำได้มั้ย”
“ โจ..เปิดประตู”   ดาบอกหนุ่ยโดยที่ไม่ได้ตั้งใจออกคำสั่งกับโจแต่มันเป็นประโยคคำสั่งที่ถูกต้อง  เจ้าโจจึงหันกลับไปเขย่งตัวขึ้นคาบเชือกสีเขียวไว้ในปากแล้วออกแรงดึงให้สวิทซ์ทำงาน   เสียงแมกเนติกที่ควบคุมวงจรไฟฟ้าลั่นดัง “แต็ก” เมื่อมีกระแสไฟผ่านเข้าไปเลี้ยงมอเตอร์เครื่องซักผ้าเก่าสองตัวที่ปรีชาเอามาทดเฟืองดัดแปลง ยึดติดอยู่ด้านในประตูเริ่มทำงานขับให้ล้อยางที่อยู่ด้านล่างหมุนพาประตูรั้วไม้บานใหญ่สองบานเปิดออกพร้อมๆ กัน   เสียงแมกเนติกตัดไฟดัง “แต็ก” อีกครั้งหนึ่งประตูทั้งสองบานเปิดออกจนสุดแล้วหยุดนิ่งอยู่ด้านข้างในตำแหน่งของมัน
“โอ อัจฉริยะอะไรอย่างนี้ ทั้งคนทั้งหมา”  หนุ่ยนึกอยู่ในใจ   พอละสายตาจากประตูหนุ่ยก็หันมาก้มมองหน้าเจ้าโจพร้อมกับลูบหัวมันเบาๆ
“ เก่งมากโจ เดี๋ยวฉันไปเอารถเข้ามาแล้วโจปิดประตูด้วยนะ”  เจ้าโจพอได้ยินคำว่า “โจปิดประตู” มันทำท่าจะขยับไปหาเชือก  หนุ่ยจึงรีบคว้าคอมันไว้
“ ไม่ใช่ตอนนี้  รอให้ฉันเอารถเข้ามาก่อน   แหม..จะอะไรขนาดนั้น อยู่ตรงนี้ก่อนเดี๋ยวจะไปเอารถเข้ามา”  พอพูดกับเจ้าโจเสร็จหนุ่ยก็หันไปพูดกับดาที่ยืนทำตาปริบๆ   ไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าสิ่งที่เห็นนั้นมันเป็นความจริง
“ เดี๋ยวพอหนุ่ยเอารถเข้ามาแล้วดาลองบอกมันอีกทีซิดูว่ามันจะปิดประตูได้หรือเปล่า”
“ จ้า ไปเอารถเข้ามาเถอะ” 

พอเจ้าโจปิดประตูได้ตามคำสั่งที่ดาบอกแล้วมันก็วิ่งตามรถของคนทั้งสองไปจนถึงหน้าบ้านพัก  หนุ่ยหยิบลูกปิงปองสีส้มอ่อนในกล่องหน้าประตูยื่นให้มันเอาปากงับแล้วมันก็วิ่งลัดสนามตรงไปหาปรีชาที่บ้านพักทันที...(4)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น