หนุ่ยมองหน้าปรีชาด้วยความรู้สึกเกรงใจแต่ดูเหมือนปรีชาจะรู้ทัน
“ ดีลูกดี...คนเรารักกันก็ต้องแสดงออกบอกให้รู้ว่ารักกัน จะได้มีความสุขใจกันทั้งสองฝ่าย ไอ้ที่ว่า
“ กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้องยังจะต้องให้บอกอีกเหรอ”
นั้นมันใช้ไม่ได้หรอกระหว่างสามีภรรยาเนี่ย ถ้าถือตามนั้นมันยิ่งจะทำให้ชีวิตรักค่อยๆ เหินห่างจนเป็นอย่าร้างได้ในที่สุดหรือไม่ก็อยู่กันอย่างแกนๆ ไม่มีชีวิตชีวา สะกิดตั้งสามทียังไม่รู้เรื่องเลย อย่างนี้ก็แย่แล้ว”
“ คุณลุงไม่ถือเหรอครับ”
“ โธ่!...คุณนี่ท่าจะโบราณจริงๆ อย่างหนูดาว่า” แล้วทุกคนก็หัวเราะกัน
“ ไอ้ความรักเนี่ยนะ มันเป็นสิ่งสวยงาม แสดงออกเมื่อไหร่มันก็งาม ชื่นใจทั้งผู้รับและผู้ให้ คนเห็นเขาก็พลอยชื่นใจไปด้วย บางคนถึงกับอิจฉาที่เห็นคู่ของคนอื่นเขารักกันไม่เหมือนคู่ของตัวที่มีแต่ทะเลาะกันเฉยเมยต่อกัน
การแสดงความรักกันนะไม่ใช่แสดงบทรักมันเป็นสิ่งที่ไม่น่าอาย แต่คนเรากลับไม่ค่อยกล้า คนส่วนใหญ่อายที่จะแสดงความรักกัน แม้แต่จะบอกกันว่าฉันรักเธอนะยังไม่กล้าเลย มันเป็นความเข้าใจผิดๆ เวลาโกรธกันทะเลาะกันกลับไม่รู้จักอาย ทะเลาะกันลั่นสามบ้านห้าบ้านทำได้ อยู่กลางตลาดกลางฝูงชนก็ทะเลาะกันงอนกันให้คนเห็นกลับไม่คิดที่จะอาย หนุ่มสาวบางคนรักกันนะแต่กลับไม่กล้าบอกกันว่ารัก เลยต่างฝ่ายต่างไม่รู้ว่าเขาก็รักเรา สุดท้ายเรียนจบแยกย้ายกันไปหรือไม่ก็ย้ายที่ทำงานกันไป เลยไม่สมหวังในความรักมันก็น่าเสียดาย
การแสดงความรักกันนะไม่ใช่แสดงบทรักมันเป็นสิ่งที่ไม่น่าอาย แต่คนเรากลับไม่ค่อยกล้า คนส่วนใหญ่อายที่จะแสดงความรักกัน แม้แต่จะบอกกันว่าฉันรักเธอนะยังไม่กล้าเลย มันเป็นความเข้าใจผิดๆ เวลาโกรธกันทะเลาะกันกลับไม่รู้จักอาย ทะเลาะกันลั่นสามบ้านห้าบ้านทำได้ อยู่กลางตลาดกลางฝูงชนก็ทะเลาะกันงอนกันให้คนเห็นกลับไม่คิดที่จะอาย หนุ่มสาวบางคนรักกันนะแต่กลับไม่กล้าบอกกันว่ารัก เลยต่างฝ่ายต่างไม่รู้ว่าเขาก็รักเรา สุดท้ายเรียนจบแยกย้ายกันไปหรือไม่ก็ย้ายที่ทำงานกันไป เลยไม่สมหวังในความรักมันก็น่าเสียดาย
คนเรารักใครชอบใครก็ต้องบอกเขาไปตรงๆ หากเขาชอบเราก็จะได้สานต่อความรักนั้นให้มันสมบูรณ์ หรือหากเขาไม่รักเราก็จะได้ตัดใจไปหาคนใหม่จะได้ไม่เสียโอกาสชีวิต ไอ้ความรักที่ว่าเนี่ยผมไม่ได้หมายถึงความรักระหว่างหนุ่มสาวเท่านั้นนะความรักที่เรามีต่อพ่อแม่เราก็ควรจะบอกให้ท่านรู้ให้ท่านได้ชื่นใจบ้างแล้วนี่วันหลังหากพวกคุณมีลูกก็ควรจะบอกให้ลูกรู้ว่าเรารักเขา กอดเขาบ้าง เออ!..พ่อแม่นี่ก็เหมือนกันกอดท่านบ้าง บางทีการพูดอย่างเดียวมันก็ไม่พอ
การกอดกันนะมันเป็นการสื่อภาษาที่ลึกซึ้ง มันลึกซึ้งยิ่งกว่าคำพูด ภาษาพูดเนี่ยมันดิ้นได้แล้วบางทีมันก็ไม่น่าเชื่อ มันเสแสร้งกันได้ แต่ก็อีกนั่นแหละถ้าคนเป็นเขาก็จะรู้ว่านั่นพูดจริงหรือเสแสร้ง เขาฟังน้ำเสียง ดูแววตา ท่าทางประกอบคำพูด นักจิตวิทยาเรียกกันว่าภาษากายมันเป็นภาษาที่ไม่อาจโกหกกันได้ บางคนที่แสดงละครเก่งๆ อาจจะทำได้แต่ก็ได้ไม่นาน เดี๋ยวก็หลุดออกมาให้เห็น
การกอดกันเนี่ยมันเป็นภาษากาย คนไม่รักกันกอดกันไม่ลงหรอกหรือกอดกันได้แต่ก็ไม่สนิท กอดแค่ไหล่ ดูอย่างนักการเมืองซิเวลากอดกันนะ ยืนห่างกันเป็นวาแล้วโน้มตัวเข้าหาทำท่าเหมือนว่ารักกันปานจะกลืน พวกนี้หลอกกันเองทั้งนั้น ถ้าอยากจะรู้ว่าคนเรากอดกันด้วยความรักนั้นมันเป็นยังไงก็ให้ดูเวลาที่แม่กอดลูกน้อยนั่นแหละ คุณเคยกอดเด็กตัวเล็กๆ ไหม น้องหรือหลานนะ”
การกอดกันนะมันเป็นการสื่อภาษาที่ลึกซึ้ง มันลึกซึ้งยิ่งกว่าคำพูด ภาษาพูดเนี่ยมันดิ้นได้แล้วบางทีมันก็ไม่น่าเชื่อ มันเสแสร้งกันได้ แต่ก็อีกนั่นแหละถ้าคนเป็นเขาก็จะรู้ว่านั่นพูดจริงหรือเสแสร้ง เขาฟังน้ำเสียง ดูแววตา ท่าทางประกอบคำพูด นักจิตวิทยาเรียกกันว่าภาษากายมันเป็นภาษาที่ไม่อาจโกหกกันได้ บางคนที่แสดงละครเก่งๆ อาจจะทำได้แต่ก็ได้ไม่นาน เดี๋ยวก็หลุดออกมาให้เห็น
การกอดกันเนี่ยมันเป็นภาษากาย คนไม่รักกันกอดกันไม่ลงหรอกหรือกอดกันได้แต่ก็ไม่สนิท กอดแค่ไหล่ ดูอย่างนักการเมืองซิเวลากอดกันนะ ยืนห่างกันเป็นวาแล้วโน้มตัวเข้าหาทำท่าเหมือนว่ารักกันปานจะกลืน พวกนี้หลอกกันเองทั้งนั้น ถ้าอยากจะรู้ว่าคนเรากอดกันด้วยความรักนั้นมันเป็นยังไงก็ให้ดูเวลาที่แม่กอดลูกน้อยนั่นแหละ คุณเคยกอดเด็กตัวเล็กๆ ไหม น้องหรือหลานนะ”
“ เคยครับ ลูกพี่สาวผม อายุสองสามขวบเห็นจะได้”
“แล้วเป็นไง คุณกอดเขายังไง”
“ก็ ผมก็กอดแบบขยี้ๆ” หนุ่ยทำท่ากอดให้ปรีชาดู
“ นั่นแหละ ที่ว่ากอดกันด้วยความรักจริงๆ กับเด็กๆ เนี่ยเรารักเขาเรากอดเขาด้วยความรักที่บริสุทธิ ด้วยความเอ็นดู ไม่มีอะไรแอบแฝง ที่ชัดๆ นะเวลาเราหมั่นไส้เขาเราก็จะกอดเขาแบบขยี้ๆ ไง มันเป็นการกอดที่กระชับ อย่างการกอดคนรักก็เหมือนกันเวลาเรากอดแฟนเรา เอ!..กอดแฟนนี่บางทีก็ยังอาจจะไม่เท่าการกอดสามีหรือกอดภรรยาหรอกนะเพราะบางทีแฟนเนี่ยมันยังมีช่องว่าง มันยังไม่สนิทใจไม่เหมือนสามีภรรยากอดกัน ผมหมายถึงสามีภรรยาที่รักกันเข้าใจกันนะเอาเป็นว่ายามรักกันดีกว่า เคยสังเกตไหมว่าเรากอดเขาเหมือนกับจะบดขยี้ตัวเขาให้ละลายเข้าไปอยู่ในตัวเราเลยไม่ใช่หรือ ฮือ!..กอดยังไงมันก็ไม่หนำใจอะไรอย่างนั้นหรือบางทีเราก็อยากจะมุดเข้าไปอยู่ในตัวเขาเลย เป็นไม๊... เหมือนอย่างที่เขาว่า “รักกันปานจะกลืน” มันแสดงออกมาให้เห็นก็ตอนกอดกันนี่แหละ เรื่องการกอดกันนะที่ต่างประเทศเขาก็รณรงค์ให้มีการแสดงความรักด้วยการกอดกันอยู่บ่อยอย่างเช่นที่ฮ่องกงหรืออเมริกาก็มักจะมีกลุ่มหนุ่มสาวออกมายืนถือป้ายที่มีข้อความว่ากอดฟรี เชื้อเชิญให้ผู้คนที่สัญจรไปมาได้แสดงความรักด้วยการกอดและก็ได้ผลอย่างเป็นที่น่าพอใจ ส่วนในบ้านเราก็เคยมีการรณรงค์ส่งเสริมให้มีการแสดงความรักต่อคนในครอบครัวด้วยการกอดกันอยู่ระยะหนึ่ง ตามมุมเมืองโดยเฉพาะในกรุงเทพฯมีการขึ้นป้ายด้วยข้อความต่างๆ ที่ส่งเสริมให้มีการกอดกันอย่างเช่น..กลับบ้านไปกอด.. ”
“ แต่คนไทยเราไม่ค่อยกอดกันนะคุณลุง อย่างผมเนี่ยผมไม่เคยได้กอดพ่อกับแม่เลย ตั้งแต่โตมาเนี่ย”
“ มันเป็นยังไง เขินใช่ไหม อายใช่ไหม่ ที่เราไม่กล้าก็เพราะเราไม่เคย เราไม่ได้ทำให้เป็นปกติหรือเราไม่ได้ทำอย่างปกติ การสัมผัสกายกันเนี่ยสำหรับคนไทยเรามันเป็นสิ่งต้องห้ามโดยเฉพาะกับต่างเพศ สมัยก่อนนี้หนุ่มสาวแค่จับมือกันเขาว่าเสียผี อย่างทางภาคเหนือเนี่ย มันเป็นเรื่องใหญ่เลยนะ หนุ่มสาวจับมือกันผู้ใหญ่เห็นเข้าเป็นเรื่องเลยนะ จับแต่งงานกันเลยหรือไม่ก็ฟ้องร้องกันเป็นเรื่องเป็นราวกันใหญ่โตไม่ได้เลยแหละจับมือกันถูกเนื้อต้องตัวกันเนี่ย แล้วเราทักทายกันยังไง คนไทยเรายกมือไหว้กันไม่ใช่หรือ เรายกมือไหว้สวัสดีให้เกียรติกันให้ความเคารพกัน
การไหว้กันของคนไทยนั้นเป็นสิ่งที่สวยงามและดูเหมือนว่าคนทั้งโลกจะชื่นชมวัฒนธรรมนี้ เพื่อนผมที่เป็นฝรั่งหลายคนเขาก็พูดอย่างนั้นและไม่มีคนชาติไหนยกมือไหว้กันได้อ่อนช้อยสวยงามเหมือนคนไทย ดูอย่างฝรั่งที่พยายามจะไหว้แบบคนไทยซิ มันแข็งๆ กระโดกกระเดกเก้งก้างยังไงก็ไม่รู้ คนจีนเขาก็ไหว้กันแต่ก็ประหลกๆ คนอินเดียเขาก็ไหว้กันแบบภารตะไหว้แบบหัวสั่นหัวคลอน เขมรยิ่งร้ายไม่ไหว้กันเลยเจอหน้ากันก็ “ซัวซได..ๆ” พวกเขาลืมวัฒนธรรมการไหว้ไปเพราะ ตกอยู่ภายใต้การปกครองระบบคอมมิวนิสต์เสียนานแม้แต่พระพวกเขาก็ไม่ไหว้ แต่ครั้งหลังที่ผมไปเที่ยวมานั้นรู้สึกว่าวัดวาอารามได้รับการพัฒนาขึ้นกันบ้างแล้ว ตอนนี้วัฒนธรรมการไหว้คงเปลี่ยนไป
การไหว้กันของคนไทยนั้นเป็นสิ่งที่สวยงามและดูเหมือนว่าคนทั้งโลกจะชื่นชมวัฒนธรรมนี้ เพื่อนผมที่เป็นฝรั่งหลายคนเขาก็พูดอย่างนั้นและไม่มีคนชาติไหนยกมือไหว้กันได้อ่อนช้อยสวยงามเหมือนคนไทย ดูอย่างฝรั่งที่พยายามจะไหว้แบบคนไทยซิ มันแข็งๆ กระโดกกระเดกเก้งก้างยังไงก็ไม่รู้ คนจีนเขาก็ไหว้กันแต่ก็ประหลกๆ คนอินเดียเขาก็ไหว้กันแบบภารตะไหว้แบบหัวสั่นหัวคลอน เขมรยิ่งร้ายไม่ไหว้กันเลยเจอหน้ากันก็ “ซัวซได..ๆ” พวกเขาลืมวัฒนธรรมการไหว้ไปเพราะ ตกอยู่ภายใต้การปกครองระบบคอมมิวนิสต์เสียนานแม้แต่พระพวกเขาก็ไม่ไหว้ แต่ครั้งหลังที่ผมไปเที่ยวมานั้นรู้สึกว่าวัดวาอารามได้รับการพัฒนาขึ้นกันบ้างแล้ว ตอนนี้วัฒนธรรมการไหว้คงเปลี่ยนไป
การไหว้ของเรานะมันเป็นการทักทายกันที่สวยงามแต่ก็แฝงไปด้วยความต่างศักดิ์ มีสูงมีต่ำ ถ้าคนเขาไม่คิดเขาก็ถือว่าไหว้กันตามธรรมเนียมตามวัฒนธรรม นี่ถ้าเราจะวิเคราะห์กันนะ คุณไม่เห็นด้วยก็ไม่เป็นไรมันเป็นเพียงความคิดเห็นของผม”
ขณะที่คุยกันอยู่นั้นความมืดก็ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาครอบคลุมทั่วบริเวณจนทั้งสามคนแทบจะมองไม่เห็นหน้ากัน แล้วหลอดไฟในโรงครัวก็ส่องสว่างขึ้นมาพร้อมกับดวงอื่นๆ ที่ติดอยู่เป็นระยะตามเสาริมทางเดิน ตามใต้ต้นไม้ใหญ่และรอบๆ บ้านแต่ละหลัง หนุ่ยกับดาเหลือบมองหน้ากันด้วยความฉงนแล้วหันมาถามปรีชาแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน
“ ใครเปิดไฟหรือครับ / คะ”
“ มันเปิดของมันเอง ผมติดตั้งสวิทซ์อัตโนมัติไว้ พอมืดมันก็จะทำงานจนถึงเช้าพอมันได้รับแสงอาทิตย์มันก็จะตัดไปเอง ไฟฟ้าชุดนี้ไม่เกี่ยวกับไฟที่ใช้ตามบ้าน ผมแยกต่างหากมันเป็นไฟธรรมชาติที่ผมปั่นเอง ใช้แรงน้ำไหลในลำธารหลังบ้าน มันไม่ค่อยแรงนักแต่ก็เพียงพอสำหรับไฟพวกนี้ ก็ช่วยชาติประหยัดพลังงานแหละครับ ดีกว่าให้มันไหลทิ้งเสียพลังงานไปเปล่าๆ ทีแรกพวกชาวบ้านเขาไม่เข้าใจหาว่าผมกักน้ำไว้ไม่ให้เขาได้ใช้ แต่พออธิบายว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับการกักน้ำไว้ไม่ให้ใครใช้ ที่ผมทำเนี่ยก็เท่ากับว่าเรามีแหล่งน้ำสำรองเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง แทนที่จะปล่อยให้น้ำไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วก็เก็บมันไว้บ้างทั้งยังให้มันได้มีเวลาซึมลงดินกลับไปเป็นแหล่งน้ำใต้ดินอีกครั้งหนึ่งเป็นการทำรีเวิสท์ออสโมซีสให้กับระบบน้ำ หรือเรียกว่าทำเทอร์โบให้กับระบบน้ำก็ได้ พอตอนหลังมานี่พวกเขาก็ได้ผลประโยชน์อีกจากการที่มีสัตว์น้ำมาอาศัยอยู่ก็เลยได้แหล่งอาหารเพิ่มขึ้นมาอีก ทีนี้เลยแฮ็ปปี้เอนดิ้ง วินๆ กันทั้งสองฝ่าย ”
หนุ่ยนึกชื่นชมแนวคิดของปรีชาอยู่ในใจจนไม่อาจระงับได้
“ คุณลุงครับ บอกตรงๆ ว่าผมทึ่งมากกับหลายๆ อย่างที่นี่ ใครออกแบบให้หรือครับ”
“ ส่วนใหญ่เราก็ทำกันเองแหละนะ คือคิดกันเองผมบ้าง ลูกๆ บ้าง แม่เขาบ้างคนนั้นนิดคนนี้หน่อยค่อยๆ ทำไปแก้ไป แรงงานก็อาศัยคนในระแวกนี้แหละครับอุปกรณ์บางอย่างก็ซื้อมาจากกรุงเทพฯ”
ปรีชาพูดจบทุกคนก็เงียบไม่มีใครพูดอะไรแต่ในใจนั้นต่างก็มีเรื่องราวมากมายหลั่งไหลเข้ามาทว่าไม่มีใครเอื้อนเอ่ย ปรีชาจึงยกแก้วน้ำสีอัมพันอ่อนขึ้นมาสาดลงลำคอให้มันพารางวัลใจที่หนุ่ยพึ่งให้มานั้นลงไปนอนอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจแปรสภาพเป็นยาอายุวัฒนะอีกต่อหนึ่ง
พอเห็นปรีชายกแก้วขึ้นดื่มทั้งสองคนจึงได้ดื่มตามบ้าง
“ อ่า!...” ปรีชาปล่อยเสียงของความสุขที่เขามีอยู่ในใจออกมา
“เมื่อกี้เราพูดกันถึงตรงไหนนะ” ปรีชาดึงความสนใจกลับที่เรื่องเดิม
“คุณลุงหมายความว่ายังไงครับที่ว่าทักทายกันแบบต่างศักดิ์”
“ ที่ว่าทักทายกันแบบต่างศักดิ์ก็คือ เป็นธรรมเนียมเลยนะคนไทยเราเด็กต้องยกมือไหว้ผู้ใหญ่ก่อน ลูกน้องต้องยกมือไหว้หัวหน้าก่อน ชาวบ้านต้องยกมือไหว้ข้าราชการหรือนักการเมืองก่อนเวลาเข้าไปติดต่องาน ยกเว้นเวลานักการเมืองหาเสียงเท่านั้นแหละ อู้ย!..แทบจะกราบเท้า...ในความเป็นจริงพวกข้าราชการกับนักการเมืองนั้นต้องไหว้ชาวบ้านก่อนเสมอเพราะคนสองประเภทนี้เป็นหนี้บุญคุณชาวบ้านผู้เสียภาษี แต่ทุกวันนี้ชาวบ้านเขาเข้าใจผิดเขากลัวอำนาจที่มอบให้ไปว่ามันจะกลับมาทำร้ายเขาและมันก็มักจะเป็นอย่างนั้นเสียด้วยซิ เขาลืมไปว่าเขาจะเข้าชื่อร่วมกันยึดเอาอำนาจนั้นคืนมาเมื่อใดก็ได้แต่ไม่แน่บางทีเขาอาจจะไม่รู้ก็ได้...ฆารวาส ต้องยกมือไหว้สงฆ์ สงฆ์ที่พรรษาอ่อนกว่าก็ต้องยกมือไหว้สงฆ์ที่พรรษาแก่กว่า แต่บางองค์ก็ไม่เคยยกมือรับไหว้ใครเลย มีแต่ “เจริญพร นอนทั้งวัน” ไปหาทีไรก็ “ หลวงพี่จำวัด” ไม่เคยลืมวัดซักที สมัยก่อนพระท่านลืมวัดกันหมด ออกไปเทศนาสั่งสอนชาวบ้านโปรดสัตว์กันทั้งปี เข้าพรรษาถึงจะกลับมา พูดไปก็บาปปากเปล่าๆ ไม่มีอะไรดีขึ้น
แล้วท่าไหว้ของเราเป็นยังไง ไหว้พระก็ต้องยกมือท่วมหัว ไหว้ผู้ใหญ่ก็ต้องยกมือขึ้นเสมอจมูก ไหว้กันเองก็เสมออก ส่วนการรับไหว้ก็ยกมือขึนเสมออก บางคนน่าเกลียดมากรับไหว้จากคนอื่นก็ทำแบบไม่เต็มใจทำ ยกมือขึ้นมาเอาปลายนิ้วชนกันแล้วก็สบัดแขนลงแบบรีบๆ เร่งๆ เหมือนกับว่าคุณมาไหว้ผมทำไมผมรีบนะรู้หรือเปล่า คุณทำให้ผมเสียเวลาที่ต้องมาหยุดรับไหว้คุณ มันไม่สำคัญหรอกว่าคุณจะไหว้ผมหรือไม่ ยังไงผมก็ไม่ให้หน้าคุณ ไอ้ที่ผมสนใจนะไม่ใช่การมายืนรอไหว้ของพวกคุณ ผมขอให้คุณไปทำในสิ่งที่ผมต้องการให้สำเร็จก็เป็นพอ ถ้าอันไหนเสร็จแล้วก็ให้มาบอกผมๆ มีโปรเจ็คใหม่ให้คุณทำ คุณเอ้ย!..ผมอยากทำเหลือเกินโปรเจ็คแสนล้านเนี่ย ไป..ๆ..ไป... มีอะไรทำก็รีบไปทำกันไป๊.. ไม่ต้องมาเสนอหน้ากันให้สลอนหรอกไป้....
ไอ้คนแบบนี้นะมันคิดว่ามันมีค่ามาก มันรีบจะไปทำผลประโยชน์ แต่จริงๆ แล้วกลับกลายเป็นว่ามันยิ่งทำตัวให้คนที่ไหว้มันเขาหมั่นไส้ มันลดค่าตัวมันเองลงไปเรื่อยๆ จนคนเขาว่า “รู้งี้กูไม่ไหว้มันก็ดีไอ้ห่า” อะไรทำนองนั้น คนเราเนี่ยนะดูกันง่ายว่าจริงใจแค่ไหน แค่ดูว่าไหว้กันหรือรับไหว้กันยังไงก็พอจะมองออกแล้วว่าควรคบหาสมาคมด้วยหรือไม่ คุณลองสังเกตุคนที่เขาไหว้คุณหรือเวลาที่คนอื่นเขารับไหว้คุณก็ได้แล้วคุณจะแปลกใจกับสิ่งที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของพวกเขามันบอกคุณ
แล้วอีกอย่างหนึ่งในเรื่องต่างศักดิ์นะ มีไหมที่ผู้ใหญ่เจอหน้าเด็กหรือหัวหน้าเจอลูกน้องแล้วยกมือไหว้ก่อน ไม่ค่อยมีหรอก ส่วนใหญ่ก็จะคิดว่าเรื่องอะไรที่ฉันจะต้องยกมือไหว้เด็ก ความคิดแบบนี้มันเป็นอะไรที่ใช้ไม่ได้ “เจ้ายศเจ้าอย่าง” ก็ผู้ใหญ่เป็นซะอย่างนี้แล้วจะให้เด็กเอาตัวอย่างที่ดีมาจากไหน
การยกมือไหว้สวัสดีกันมันเป็นเรื่องของมารยาททางสังคมมันไม่ได้เกี่ยวกับศักดิ์ศรีหรืออะไรเลย ใครยกมือไหว้ก่อนสวัสดีก่อนคือคนที่ได้รับการศึกษาอบรมมาดี มีความนอบน้อมถ่อมตน เขาไม่ถือตัว เขาไม่หยิ่งเขามีลักษณะของคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดี คนที่ต้องรอให้คนอื่นยกมือไหว้ตัวก่อนจึงจะยกมือไหว้ตอบนั่นแหละพวกนี้ใช้ไม่ได้ ไม่น่าคบหาสมาคมด้วย เพราะแค่ยกมือไหว้ก่อนยังคิดเล็กคิดน้อยแล้วเรื่องอื่นมันจะไม่ยิ่งไปกว่านี้หรือ
การยกมือไหว้สวัสดีกันมันเป็นเรื่องของมารยาททางสังคมมันไม่ได้เกี่ยวกับศักดิ์ศรีหรืออะไรเลย ใครยกมือไหว้ก่อนสวัสดีก่อนคือคนที่ได้รับการศึกษาอบรมมาดี มีความนอบน้อมถ่อมตน เขาไม่ถือตัว เขาไม่หยิ่งเขามีลักษณะของคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดี คนที่ต้องรอให้คนอื่นยกมือไหว้ตัวก่อนจึงจะยกมือไหว้ตอบนั่นแหละพวกนี้ใช้ไม่ได้ ไม่น่าคบหาสมาคมด้วย เพราะแค่ยกมือไหว้ก่อนยังคิดเล็กคิดน้อยแล้วเรื่องอื่นมันจะไม่ยิ่งไปกว่านี้หรือ
ผู้ใหญ่ที่ฉลาดจริงๆ เนี่ยเขามีกุศโลบายที่ดีและสง่าด้วยเขามีวิธีทำ พอเห็นใครไม่ว่าจะเด็กกว่าหรือแก่กว่าพวกเขาก็ทักไปก่อนเลย “สวัสดีครับคุณ..ลูกน้อง” “สวัสดีครับคุณหัวหน้า” เออ!..พูดถึงเรื่องนี้ก็อยากจะพูดอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นคนละเรื่องเดียวกัน สมัยนี้นะอย่าไปพูดคำว่าเจ้านาย “สวัสดีครับเจ้านาย” ใช้ไม่ได้พวกผู้ใหญ่ท่านถือท่านไม่ชอบ ท่านจะหาว่าเรานั้นโบราณไม่รู้จักโตเรียกพวกเขาว่าเจ้านายอยู่ได้และพวกท่านก็ไม่อยากให้เรียกท่านแบบโบราณๆ อย่างนั้น สมัยนี้มันเสมอภาคกันหมดแล้ว เจ้านายไม่มี มีแต่ผู้นำ มีแต่หัวหน้า ผู้จัดการ ผู้อำนวยการ มีแต่ตำแหน่งหน้าที่เท่านั้นที่ต่างกัน ศักดิ์ต่างกันนั้นไม่มี เพราะฉะนั้นอย่าเรียกท่านว่าเจ้านายอีกต่อไป เข้าใจ๋....นี่ผู้ใหญ่ที่เป็นผู้ใหญ่จริงๆ ท่านเป็นแบบนี้
เอาหละ...กลับมาอีกที...ผู้ใหญ่ที่ฉลาดที่เป็นผู้ใหญ่จริงๆ เหล่านั้นจะใช้เสียงนำ ใช้เสียงให้ผู้อื่นรู้ตัวก่อน พอคนที่ได้ยินนะถ้าเป็นลูกน้องหรือผู้ที่ด้อยอาวุโสกว่าส่วนใหญ่จะสะดุ้งเพราะจำเสียงได้ว่าเป็นเสียงใครแล้วจะรีบหันมายกมือไหว้ก่อน “สวัสดีครับคุณหัวหน้า” “สวัสดีครับพ่อ” แล้วท่านก็จะยกมือขึ้นรับการสวัสดี “ เอา..ๆ..ๆ.. สวัสดีคุณลูกน้อง...” เป็นไงใครยกมือไหว้สวัสดีใครก่อน แล้วทีนี้เวลาเจอผู้ที่อาวุโสสูงกว่าท่านก็จะทำเช่นเดียวกันอีกคือพูดคำว่าสวัสดีออกไปก่อนแล้วทีนี้ตามด้วยการยกมือไหว้ ท่านผู้นั้นที่ถูกทักก็จะทำการรับไหว้ด้วยการยกมือขึ้นมารับไหว้ตอบ
ทีนี้มันมีอยู่นิดหนึ่งที่จะเห็นได้ว่า ท่านผู้นั้นนะมีความเป็นท่านมากน้อยเพียงใด ถ้าท่านรีบชิงยกมือไหว้ก่อนก็แสดงให้เห็นสองอย่างคือถ้าท่านไม่ให้เกียรติเราก็แสดงว่าท่านให้อาวุโสแก่เราในด้านใดด้านหนึ่ง ทีนี้มันจะเป็นอะไรนั้นก็ต้องค่อยๆ ศึกษากันไปดูใจกันอีกสักวันหนึ่งก็จะรู้เอง
ทีนี้มันมีอยู่นิดหนึ่งที่จะเห็นได้ว่า ท่านผู้นั้นนะมีความเป็นท่านมากน้อยเพียงใด ถ้าท่านรีบชิงยกมือไหว้ก่อนก็แสดงให้เห็นสองอย่างคือถ้าท่านไม่ให้เกียรติเราก็แสดงว่าท่านให้อาวุโสแก่เราในด้านใดด้านหนึ่ง ทีนี้มันจะเป็นอะไรนั้นก็ต้องค่อยๆ ศึกษากันไปดูใจกันอีกสักวันหนึ่งก็จะรู้เอง
อย่างไรก็ตามการให้เกียรติทักทายสวัสดีคนอื่นก่อนนั้นมันดีด้วยประการทั้งปวง เพราะฉะนั้นเวลาพบใครที่เรามีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมด้วยก็พูดนำก่อนไปเลยคำว่า สวัสดีนะ แล้วทุกอย่างมันก็จะสวัสดีมีชัยอย่างที่ต้องการ การทำแบบนี้คนโบราณเขาเรียกว่า "นะจังงัง..."
นี่ยังไม่หมดนะสิ่งที่แฝงอยู่ในท่าไหว้ของคนไทยเราเนี่ย การยกมือไหว้กันมันก็เหมือนกับการที่นักมวยตั้งการ์ดเข้าหากันไง เตรียมรุกและรับเวลานักมวยจะชกกันนะ มันต่างกันตรงที่การยกมือไหว้กันนั้นแสดงออกถึงความสุภาพอ่อนน้อม เป็นการแสดงความมีไมตรีจิตต่อกันคือยกมือไหว้เขาก่อน เป็นการแสดงความบริสุทธิคือแบมือทั้งสองข้างแล้วยกขึ้นมาให้เขาดูว่าในมือนั้นไม่มีอะไรที่เป็นอันตราย ไม่ได้ซุกซ่อนอะไรไว้ ในขณะเดียวกันมันก็เป็นการตั้งการ์ดป้องกันตัวคือมือทั้งสองข้างพร้อมที่จะผลักออกไปเมื่อมีภัยเข้ามาและมือทั้งสองข้างที่ยกขึ้นมาก็ปกป้องส่วนที่สำคัญที่สุดของร่างกายไว้ ก็หัวใจไง ปิดไว้บังไว้ไม่ให้อะไรมากระทบได้ง่ายๆมันเป็นจุดตาย แล้วก็อยู่ห่างๆ กันไว้มันเป็นการป้องกันอันตรายให้กับตัวเอง เนี่ยมันเกี่ยวโยงกันทั้งนั้นในวัฒนธรรมการไหว้กัน
ธรรมเนียมการถือศักดิ์ ธรรมเนียมการไม่ถูกเนื้อต้องตัวและสัญชาติญาณการระวังภัยของมนุษย์ นี่ไม่ได้หมายความว่าเราจะมองคนอื่นในแง่ร้ายนะแต่มันเป็นเรื่องที่ต้องระวังไว้ก่อน ก็ยังไม่รู้จักกันแล้วจะให้ทักทายกันด้วยการสวมกอดกันนั้นไม่ได้หรอก มันต่างกันกับของฝรั่งเขา ผมเป็นคนไทยและยังมองว่าธรรมเนียมไทยเรานี้เป็นสิ่งที่ดี แต่นี่เรามาวิเคราะห์กันว่าอะไรทำให้คนไทยเราไม่แสดงความรักหรือทักทายด้วยการกอดกัน พวกฝรั่งนะเขาไม่ถือตัวโดยเฉพาะช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองหลังจากที่ ฌอง ปอล ซาร์ต นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสได้แผยแพร่ลัทธิเอ็กซีสแตนเชียลลิสต์ออกมา คนทางยุโรปเลยฮือฮาเรื่องเสรีภาพที่ว่าใครจะไปขึ้นช้างลงม้าที่ไหนก็เชิญแต่ก็ต้องรับผิดชอบสิ่งที่ทำกันเอาเอง ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคิดและจะทำหรือไม่ทำอะไรก็ได้ ทุกคนมีสิทธิและเสรีภาพเหมือนกันหมด โอ้!..นี่มันเรื่องใหญ่ เรื่องใช้สิทธิ์เนี่ยและพวกเขาเรียนรู้ที่จะใช้สิทธิ์กันอย่างเป็นบ้าเป็นหลังเพราะเขาถือว่ามนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพ ทุกคนมีความเท่าเทียมกันในความเป็นมนุษย์ ทุกคนจึงมีสิทธิเท่าเทียมกัน มันมีคำพูดหนึ่งของซาร์ตที่ว่า “มนุษย์ถูกสาปให้มีเสรีภาพ” ซึ่งมันก็เป็นความจริง เกี่ยวกับเรื่องนี้คุณต้องไปอ่านหนังสือปรัชญาชีวิตของฌอง ปอล ซาร์ต แล้วคุณจะเข้าใจ เป็นหนังสือที่อ่านไม่ยากแต่ก็ต้องมีเวลาให้มันหน่อยจึงจะเข้าใจได้ดี ก็เพราะไอ้ลัทธินี้แหละที่ตอนหลังได้เกิดค่านิยมเสรีภาพของยุคซิกตี้ ยุคฮิปปี้ที่ใครจะทำอะไรก็ได้โดยที่ไม่ต้องไปห่วงว่าคนอื่นเขาจะคิดอะไรจะว่าอะไร เพราะเขาถือว่าเขามีสิทธิ์และเขารับผิดชอบสิ่งที่เขากระทำลงไป แต่ตอนหลังรู้สึกว่ามันจะมากไปหน่อยอย่างเช่น การกอดกันจูบกันในที่สาธารณะตอนแรกมันก็ดูดีเป็นการแสดงออกถึงความรักที่สวยงาม
มีอยู่ยุคหนึ่งตอนนั้น จอมพลป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี จริงๆ แล้วท่านชื่อแปลก จอมพลแปลก พิบูลสงคราม ตามประวัติท่านว่าที่ได้ชื่อว่าแปลกเพราะท่านมีหูสองข้างที่แปลกกว่าชาวบ้านคือท่านมีหูอยู่ต่ำกว่าตาหรือตาอยู่สูงกว่าหูอะไรทำนองนั้นแหละ จอมพลป.ท่านเป็นผู้นำรัฐบาลที่มีความคิดทันสมัย ท่านต้องการให้คนไทยมีความทันสมัยทัดเทียมนานาอารยประเทศ ท่านจึงได้รับเอาค่านิยมตะวันตกบางอย่างมาแล้วเอามาส่งเสริมให้ใช้ในเมืองไทย ท่านศรัทธาพวกนาซี นาซีเยอรมันท่านศรัทธามากถึงกับทำเครื่องหมายสวัสดิกะติดไปทั่ว นโยบายของรัฐบาลในช่วงนั้นเขาเรียกว่า รัฐนิยม เพื่อที่จะปลูกฝังให้คนไทยมีความรักชาติมีความสามัคคีกันทั้งนี้ก็เพื่อความมั่นคงของประเทศชาติเป็นหลัก ตามอย่างฮิทเลอร์ไง ดูเหมือนว่าช่วงที่ท่านเป็นผู้นำนั้นเมืองไทยเรามีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ที่เห็นกันชัดๆ ก็คือทางด้านวัฒนธรรมและวัฒนธรรมบางอย่างก็ยังมีผลมาถึงทุกวันนี้แต่ก็มีหลายอย่างที่ไม่ได้รับความนิยมและค่อยๆ เลิกใช้กันไปในสมัยต่อๆ มา นี่ก็นานมาแล้วนะกี่ปีแล้วเนี่ย ปีนี้ปี 2550 ดูซิท่านเริ่มประกาศรัฐนิยมฉบับแรกเมื่อ 28 กันยายน 2482 นี่ก็ปาเข้าไปเท่าไหร่ละ 68 ปีเข้าแล้ว อย่างคำว่าประเทศไทยนี้ก็ถูกเปลี่ยนมาจากคำว่าสยาม ท่านไม่ให้เรียกว่าประเทศสยามแล้ว ท่านให้ใช้คำว่าประเทศไทยเพื่อที่ฝรั่งจะได้เรียกประเทศของเราว่าไทยแลนด์ คาดว่าคงจะให้เหมือนกับประเทศมหาอำนาจต่างๆ อย่างเช่น อิงแลนด์ สวิสเซอร์แลนด์ อะไรทำนองนั้นละมั้งและแทนที่จะเรียกว่าคนสยามก็ให้เรียกเสียใหม่ว่าคนไทย นี่เป็นรัฐนิยมฉบับแรกและก็มีฉบับต่อๆ มาอีกหลาย น่าจะประมาณ 12 ฉบับด้วยกันทั้งหมด แต่ที่จะพูดถึงตอนนี้ก็คือช่วงนั้นถือว่าเป็นคำสั่งราชการเลยนะ ผู้ชายต้องยกย่องภรรยา การที่สามีจะด่าว่าทุบตีภรรยานี่ถือว่าผิด ข้าราชการ ยิ่งร้ายระหองระแหงทะเลาะกับภรรยาอย่างไม่มีเหตุผลนี่ถือว่าผิดวินัยเลยนะ สามีเวลาจะออกจากบ้านต้องจุมพิตภรรยาก่อน เวลาคนเราจะจุมพิตกันนั้นมันก็ต้องมีการสวมกอดกันก่อนใช่ไหมล่ะ ตรงนี้แหละที่ผมจะพูดถึง
มีอยู่ยุคหนึ่งตอนนั้น จอมพลป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี จริงๆ แล้วท่านชื่อแปลก จอมพลแปลก พิบูลสงคราม ตามประวัติท่านว่าที่ได้ชื่อว่าแปลกเพราะท่านมีหูสองข้างที่แปลกกว่าชาวบ้านคือท่านมีหูอยู่ต่ำกว่าตาหรือตาอยู่สูงกว่าหูอะไรทำนองนั้นแหละ จอมพลป.ท่านเป็นผู้นำรัฐบาลที่มีความคิดทันสมัย ท่านต้องการให้คนไทยมีความทันสมัยทัดเทียมนานาอารยประเทศ ท่านจึงได้รับเอาค่านิยมตะวันตกบางอย่างมาแล้วเอามาส่งเสริมให้ใช้ในเมืองไทย ท่านศรัทธาพวกนาซี นาซีเยอรมันท่านศรัทธามากถึงกับทำเครื่องหมายสวัสดิกะติดไปทั่ว นโยบายของรัฐบาลในช่วงนั้นเขาเรียกว่า รัฐนิยม เพื่อที่จะปลูกฝังให้คนไทยมีความรักชาติมีความสามัคคีกันทั้งนี้ก็เพื่อความมั่นคงของประเทศชาติเป็นหลัก ตามอย่างฮิทเลอร์ไง ดูเหมือนว่าช่วงที่ท่านเป็นผู้นำนั้นเมืองไทยเรามีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ที่เห็นกันชัดๆ ก็คือทางด้านวัฒนธรรมและวัฒนธรรมบางอย่างก็ยังมีผลมาถึงทุกวันนี้แต่ก็มีหลายอย่างที่ไม่ได้รับความนิยมและค่อยๆ เลิกใช้กันไปในสมัยต่อๆ มา นี่ก็นานมาแล้วนะกี่ปีแล้วเนี่ย ปีนี้ปี 2550 ดูซิท่านเริ่มประกาศรัฐนิยมฉบับแรกเมื่อ 28 กันยายน 2482 นี่ก็ปาเข้าไปเท่าไหร่ละ 68 ปีเข้าแล้ว อย่างคำว่าประเทศไทยนี้ก็ถูกเปลี่ยนมาจากคำว่าสยาม ท่านไม่ให้เรียกว่าประเทศสยามแล้ว ท่านให้ใช้คำว่าประเทศไทยเพื่อที่ฝรั่งจะได้เรียกประเทศของเราว่าไทยแลนด์ คาดว่าคงจะให้เหมือนกับประเทศมหาอำนาจต่างๆ อย่างเช่น อิงแลนด์ สวิสเซอร์แลนด์ อะไรทำนองนั้นละมั้งและแทนที่จะเรียกว่าคนสยามก็ให้เรียกเสียใหม่ว่าคนไทย นี่เป็นรัฐนิยมฉบับแรกและก็มีฉบับต่อๆ มาอีกหลาย น่าจะประมาณ 12 ฉบับด้วยกันทั้งหมด แต่ที่จะพูดถึงตอนนี้ก็คือช่วงนั้นถือว่าเป็นคำสั่งราชการเลยนะ ผู้ชายต้องยกย่องภรรยา การที่สามีจะด่าว่าทุบตีภรรยานี่ถือว่าผิด ข้าราชการ ยิ่งร้ายระหองระแหงทะเลาะกับภรรยาอย่างไม่มีเหตุผลนี่ถือว่าผิดวินัยเลยนะ สามีเวลาจะออกจากบ้านต้องจุมพิตภรรยาก่อน เวลาคนเราจะจุมพิตกันนั้นมันก็ต้องมีการสวมกอดกันก่อนใช่ไหมล่ะ ตรงนี้แหละที่ผมจะพูดถึง
วัฒนธรรมการจุมพิตกัน กอดกันนั้นมันก็เข้ามาในเมืองไทยแล้วตั้งแต่ยุคโน้นแต่มันอาจจะผิดเวลาไปหน่อยคือ มันเข้ามาเร็วไป ถ้าเข้ามาช้ากว่านั้นอีกหน่อยนะประมาณว่าหลังยุคซิกตี้วัฒนธรรมนี้อาจจะได้รับความนิยมและอยู่ยั่งยืนมาถึงทุกวันนี้ก็ได้ จริงๆ แล้วผมว่ามันดีนะการที่สามีจะต้องยกย่องภรรยา ไม่ทะเลาะทุบตีภรรยาและจุมพิตภรรยาก่อนออกจากบ้านเนี่ยมันเป็นการให้เกียรติกันและยังเป็นการเตือนสติกันอยู่ทุกวันว่ามีเมียแล้วนะมีสามีแล้วนะแล้วเรื่องปัญหาครอบครัวปัญหาการนอกใจกันปัญหาการหย่าร้างก็คงจะลดลงไปไม่น้อยแต่ก็อีกนั่นแหละมันมีอิทธิพลถึงกับไปลดปัญหาเรื่องเมียหลวงเมียน้อยหรือเปล่าเพียงใดนี่ก็เป็นเรื่องที่น่าคิดนะ
อีกอย่างหนึ่งเมืองไทยเรานี่เป็นเมืองร้อนการที่จะให้มาสวมกอดกันบ่อยๆ มันคงจะเป็นเรื่องที่น่ารำคาญและชาวบ้านที่เป็นชาวไร่ชาวนาสมัยก่อน ตัวเหม็นกลิ่นโคลนสาบควายจะให้มากอดกันจุมพิตกันเขาคงไม่มีอารมณ์ มันไม่มีใครเป็นอย่างไอ้ขวัญกับอีเรียมหรอกที่เช้าสายบ่ายเย็นลงเล่นกันในคลองแสนแสบนะ เออ..จะไม่ให้มันแสบได้ยังไง วันหนึ่งตั้งสี่ที แต่มันก็เข้าใจหาที่เย็นๆ เล่นกันนะคู่นี้ อย่างฝรั่งนะเขาอยู่กันเมืองหนาวการสวมกอดกันก็เป็นเสมือนการให้ไออุ่นแก่กันเป็นความปรารถนาดีต่อกันวัฒนธรรมของเขาก็เลยอยู่ได้มาจนทุกวันนี้”
อีกอย่างหนึ่งเมืองไทยเรานี่เป็นเมืองร้อนการที่จะให้มาสวมกอดกันบ่อยๆ มันคงจะเป็นเรื่องที่น่ารำคาญและชาวบ้านที่เป็นชาวไร่ชาวนาสมัยก่อน ตัวเหม็นกลิ่นโคลนสาบควายจะให้มากอดกันจุมพิตกันเขาคงไม่มีอารมณ์ มันไม่มีใครเป็นอย่างไอ้ขวัญกับอีเรียมหรอกที่เช้าสายบ่ายเย็นลงเล่นกันในคลองแสนแสบนะ เออ..จะไม่ให้มันแสบได้ยังไง วันหนึ่งตั้งสี่ที แต่มันก็เข้าใจหาที่เย็นๆ เล่นกันนะคู่นี้ อย่างฝรั่งนะเขาอยู่กันเมืองหนาวการสวมกอดกันก็เป็นเสมือนการให้ไออุ่นแก่กันเป็นความปรารถนาดีต่อกันวัฒนธรรมของเขาก็เลยอยู่ได้มาจนทุกวันนี้”
“ พวกเขาไม่อายกันนะลุงยืนกอดกันจูบกันกลางถนนนะ”
“ โอ้ย!...ไอ้พวกนี้มันหน้าด้าน ไอ้การสวมกอดกันแบบทักทายนะมัน เดี๋ยวเดียวและก็ดูดี แต่ที่คุณเห็นนะมันพวกหนุ่มสาว มันไม่ใช่การกอดทักทายกันแล้วหละ มันน่าจะเป็นการเล้าโลมกันซะมากกว่า แหม!..ยืนซดกันอยู่ได้เป็นชั่วโมง อย่างนั้นมันอุบาทว์ แล้วการกอดกันที่ผมว่าเนี่ยผมหมายถึงการที่คนภายในครอบครัว คนรู้จักกัน รักกันสนิทสนมกันกอดกันทักทายกัน มันเป็นสัญญาณที่บอกว่ารักกันมันไม่เกี่ยวกับเรื่องของความใคร่ แต่ระหว่างสามีภรรยานั้นมันเป็นอีกเรื่องหนึ่งเวลาจะมีอะไรกันมันก็ต้องกอดกันอยู่แล้วแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะกอดกันก็เฉพาะตอนนั้นอย่างเดียว มันจะมีตอนอื่นๆ ด้วยอย่างเช่นในวาระต่างๆ วันเกิดเอย วันขึ้นปีใหม่เอย แต่นั่นมันก็ยังห่างไป ความจริงมันมีเหตุหมดแหละถ้าจะทำ อย่างเช่นเวลาที่ภรรยาทำผมทรงใหม่หรือว่าซักผ้ารีดผ้าให้หรือเวลาที่ทำอาหารอร่อยถูกใจ มันเป็นการแสดงออกซึ่งความชื่นชม ความรักทีสวยงาม อย่างที่หนูดาทำเมื่อกี้ผมว่าก็น่ารักดีหรือคุณว่าไหมละ เออ!..ว่าแต่ว่าเราจะกินอะไรกันดีวันนี้ ผมชวนคุณคุยซะยืดยาว คงจะหิวกันแล้วมั้ง ดูซิเนี่ย เลอลองกองเกือบหมดขวดแล้ว หนูดาลุงไม่เห็นหรอกว่าหนูดื่มไปกี่แก้ว”
“ ยังแก้วเดิมอยู่คะ แต่รินไปหลายทีแล้ว”
“ โอเค!..อย่างนี้ดี สำนวนเริ่มออก หนูนี่คงไม่เบาเลยนะ”
“ ค๊ะ...ห้าสิบเอ็ดโลกับสองขีดค๊ะ”
“ หนุ่ยว่าไง หนูดาเวลาอยู่ที่บ้านก็เป็นแบบนี้หรือ”
“ ครับ แบบนี้แหละครับบางทีผมก็ตามไม่ทัน ดาเค้าจะมีอะไรแปลกๆเรื่อยแหละครับพวกสำนวนกวนโอ้ยเนี่ยครับ”
“ ดีนะ จะได้ไม่เหงา ว่าแต่ตอนนี้เราไปทำอะไรกินกันเถอะ ถือแก้วมากันด้วยนะ” แล้วทั้งสามก็เดินเข้าไปในห้องครัว...(7)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น