วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

missing Dad คิดถึงพ่อ...(4)



พอแยกตัวจากสองหนุ่มสาวมาปรีชาก็เดินตรงไปที่บ้านพัก
เขาตั้งใจว่า 

“...จะอาบน้ำให้สบายตัวเสียก่อนแล้วจึงค่อยออกไปที่โรงครัวเตรียมของที่จะใช้ทำอาหารเย็นมื้อนี้แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะทำอะไรดี   แต่ก็เอาเถอะมีอะไรก็ทำกินไปก็แล้วกัน   เป็นซะอย่างนี้ทุกทีพอนึกถึงเรื่องกินแล้วบางครั้งมันก็ยุ่งอยู่เหมือนกัน  มันเป็นอะไรกันแน่ มันเป็นความอยากหรือว่าเป็นความต้องการหรือว่ามันเป็นสันดาน   ไอ้นั่นก็ไม่อยากกินหาว่าเบื่อ  ไอ้นี่หรือก็ไม่อร่อยหรือว่าจะกินไอ้นั่นมันอร่อยดี   ไม่รู้เป็นไงใครจะว่าไม่อร่อยก็ช่างหัวมันแต่กูว่าอร่อยกูก็กินของกูมาแต่เด็ก   ตั้งแต่จำความได้กูก็เห็นแม่กูทำให้กินเรื่อยแต่ก็แปลกแฮะแม่ทำยังไงนะถึงได้อร่อย  ไปกินที่ไหนก็ไม่อร่อยเหมือนที่แม่ทำ   ยืนดูแม่ทำก็ตั้งหลายครั้งแม่สอนให้ทำก็ตั้งหายหนทำไม๊เรามันถึงได้ทำไม่อร่อยเหมือนที่แม่ทำซักทีแต่ก็เอาเถอะพอกินได้ก็แล้วกันน่า  คิดอะไรมาก

“มีอะไรก็กินเข้าไป กินอิ่มแล้วมีอะไรทำก็ไปทำไม่มีอะไรทำก็พักผ่อนซะพรุ่งนี้จะได้มีแรงทำงานต่อ”

เอ...นี่มันเป็นคำพูดของพ่อนี่หว่า  พ่ออยู่ไหนนะเป็นเทวดาอยู่บนฟ้าบนสวรรค์หรือว่าพ่อยังอยู่แถวนี้มาหาเราที  ไปหาพี่ที   ไปหาน้องที ไปหาแม่ทีหรือว่าพ่อไปเกิดใหม่แล้ว   ไปเกิดเป็นอะไร   นี่ถ้าพ่อยังอยู่ป่านนี้ไม่ปาเข้าไปเกือบร้อยแล้วหรือ  พ่อ!.. ผมคิดถึงพ่อนะ  ผมจำได้ทุกอย่างแหละที่พ่อสอนนะ   อย่างไอ้เรื่องกินนี่ก็เหมือนกันผมก็ยังจำได้ว่าพ่อสอนผมว่ายังไง   ไอ้นิทานเรื่องนั้นนะเหรอ   สองพี่น้องลูกเศรษฐีที่พ่อตายแล้วทิ้งสมบัติไว้ให้  ผมก็ยังจำได้   ก่อนตายพ่อมันบอกว่า

ให้กินอิ่มทุกคาบ กินลาบทุกมื้อ” 

ไอ้พี่มันโง่หรือมันซื่อหรือว่ามันบื้อก็ไม่รู้  พ่อบอกว่ายังไงมันก็ทำยังงั้น  มันคิดไม่เป็น  มันไม่รู้จักคิด  ไม่รู้จักแอ็บพลาย   ไม่รู้จักประยุกต์ไอ้พวกคิดแต่ในกรอบ  กบในกะลา ไม่กล้าคิดกล้าทำสิ่งใหม่ๆ  พอได้สมบัติพ่อมามันก็พาเพื่อนมากินข้าวที่บ้านทุกวันกินอิ่มทุกคาบกินลาบทุกมื้ออิ่มหมีพีมันเหล้ายาปลาปิ้งมีกินไม่อั้น  ใช้ชีวิตอยู่บนความหรูหราฟุ่มเฟือย   หาแต่ความสุขสบายใส่ตัว  การงานไม่ทำเพราะถือว่าพ่อทิ้งสมบัติไว้ให้เยอะ 

แล้ววันหนึ่งทรัพย์สินเงินทองที่พ่อให้ไว้ก็หมดไป  เพื่อนฝูงที่เคยมากินมาเล่นมาหัวก็หายตัวไปหาใครไม่เจอ   ทีนี้ไม่รู้จะบากหน้าไปหาใครจึงคิดขึ้นมาได้ว่ามีน้องอยู่อีกคนหนึ่งก็ตอนเงินสลึงไม่ติดกระเป๋านี่แหละ  ตั้งแต่พ่อตายก็ไม่เคยได้ข่าวคราวว่าน้องอยู่ที่ไหนมีความเป็นอยู่อย่างไรเพราะมัวแต่หลงระเริงเห็นกงจักรเป็นดอกบัวเห็นความชั่วเป็นของเล่น   จึงออกเดินทางเร่ร่อนสอบถามผู้คนว่าน้องอยู่ไหน  ค่ำไหนนอนนั่น  ร่างกายที่เคยอ้วนท้วนจนพุงโย้ก็ค่อยๆ ผอมโซลงไปเพราะอดมื้อกินมื้อไม่มีเงิน  กระทั่งไปพบว่าน้องยังอยู่ดีมีสุข   มีบ้านหลังใหญ่เรือกสวนไร่นา  ขี้ข้าเต็มบ้านบริวารเต็มเรือน   ก็เข้าไปหาน้อง  ถามน้องมันว่าทำยังไงถึงยังได้มีสมบัติพัสถานมากมายใหญ่โตอย่างนี้ น้องมันบอกว่า

“ก็ทำอย่างที่พ่อบอกไง กินอิ่มทุกคาบ กินลาบทุกมื้อ” 

พี่มันก็ยังงงเพราะมันก็ทำอย่างที่พ่อบอกเหมือนกัน   แล้วทำไมเงินทองถึงได้ไม่มีเหลือ  ตื่นมารุ่งเช้าอีกวันน้องมันก็ยื่นเสียมยื่นจอบให้พี่ พาพี่มันเข้าไปในไร่ไปขุดดินดายหญ้าปลูกผักปลูกผลไม้   จนถึงเที่ยงถึงบ่ายก็แกะข้าวห่อออกมากินกันสองคนพี่น้อง  พี่มันหิวเพราะไม่เคยทำงานหนักเลยกินข้าวเสียจนไม่เหลือติดห่อสักเม็ด  พอกินอิ่มพี่มันก็ถามน้องอีกว่าทำยังไงถึงได้มีเงินทองมากมาย   น้องมันก็ตอบเหมือนเดิมว่า  “ทำอย่างที่พ่อบอก กินอิ่มทุกคาบ กินลาบทุกมื้อ” แล้วตอนนี้กินอิ่มหรือยัง  พี่มันก็ตอบว่าอิ่ม   แต่ก็ยังสงสัยว่า  กินลาบทุกมื้อแล้วทำไมมื้อนี้ไม่เห็นมีลาบ  น้องมันก็เลยบอกว่าที่กินนั่นแหละลาบ   “ปลาร้าสับ”  ต้องเอาปลาร้ามาลาบมาสับให้ละเอียดก่อนถึงจะปรุงได้  แล้วอร่อยไหม  พี่มันไม่เคยได้กินปลาร้ามานานทั้งๆ ที่เกิดออกมาจากไหปลาร้ามา   พอได้กินวันนี้ด้วยความเหนื่อยด้วยความหิว  ปลาร้าที่ว่าลูกเศรษฐีไม่กินทำเป็นปลิ้นจมูกเชิดหน้าใส่เขาพอได้ยินใครเขาว่าใส่ปลาร้า ..แหวะ..กินไม่ได้ ..เหม็น.. กินเข้าไปได้ยังไงสกปรก   ดูถูกเขาหาว่าไอ้ที่เขากินนั้นมันเป็นอาหารชั้นต่ำ ต้องกินหมูกินเนื้อชิ้นโตๆ ซิ ...สเต็ก... แต่ก็ลืมคิดไปว่าก่อนที่มันจะมาเป็นเนื้อชิ้นโตๆในจานนะเจ้าของมันยืนน้ำตาไหลวิงวอนขอความเห็นใจว่าอย่าฆ่าข้าเลยจะเอาข้าไปใช้งานหรือจะเฆี่ยนจะตีข้ายังไงก็เอา   ไว้ชีวิตข้าเถอะ  อย่าฆ่าข้าเลย  คนก็ยังอุตส่าห์เอามีดไปเสียบคอมันอีก  ดูซิมันตายทั้งน้ำตาตายทั้งยืน  แล้วยังเอาถังไปรองเอาเลือดเอาน้ำตามันมากินอีก  เนื้อนะเหรออร่อย "เนื้อเปื้อนน้ำตา" เวลาทอดยังบอกเขาอีกนะว่าไม่ต้องให้สุกมาก  เอาแค่มีเดี่ยมๆ ก็พอมีเดี่ยมก็คือเอาลงนาบกะทะให้ผิวมันเกรียมนิดนึงแล้วก็พลิกอีกข้าง  แป็บเดียวเหมือนกัน  บางคนเรียกว่าเนื้อสามสี  ข้างนอกเกรียมน้ำตาลไหม้ถัดลงไปก็ซีดๆ หน่อยเพราะเลือดมันสุกแต่ตรงกลางให้แดงเข้าไว้  ให้ข้างในฉ่ำๆ หน่อย    อู้ย..น้ำลายหก...แหวะ...กินเข้าไปได้ยังไงเลือดยังแดงๆ อยู่เนื้อข้างในก็ไม่สุก แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าหวาน...มันดี....อร่อย...โธ่เอ้ย!...หารู้ไม่ว่าพยาธิทั้งนั้น  กินสุกๆ ดิบๆ   ไปดูซิในฟาร์มหมูฟาร์มวัว  ว่ามันอยู่กันยังไง   เบียดเสียดยัดเยียด  นอนแช่ขี้แช่เยี่ยวย่ำดินย่ำโคลน เหม็นสาบเหม็นคาว  อย่าว่าเข้าใกล้เลยอยู่ห่างเป็นกิโลก็ยังเหม็นเลย เวลาฝนตกนะโคตะระเหม็นเลย  แล้วก้อเชื้อโรคทั้งนั้น  โรคปากเปื่อยเท้าเปื่อยเอย   โรควัวบ้าเอย   แล้วนี่ยิ่งไปดูในโรงฆ่าสัตว์ตอนเขาชำแหละมัน   ปลิ้นใส้ปลิ้นพุงมันออกมา  พยาธิทั้งนั้นยั้วเยี้ยอยู่ข้างใน บางทีพยาธิก่อตัวเป็นซีสเป็นก้อนเนื้อแข็งๆด้านๆ  หาว่านั่นแหละดีแย่งกันกิน   มันอร่อยดีกุบๆดี ฮึ้ย.....

เป็นไงละวันนี้กินปลาร้าสับกับยอดกฐินของสูงนะ  กินแล้วเป็นมงคลไม่จน  ขมิ้นขาว  ถั่วฝักยาว   อร่อยไหม  ไอ้พี่มันหิวกินอะไรก็อร่อยทั้งนั้น  กินเพื่ออยู่ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน  ปลาร้าเนี่ยของดีไม่เชื่อก็จะเล่าให้ฟัง   น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา   น้ำต้องสะอาดปลาถึงอยู่ได้ถ้าน้ำสกปรกปลาตายหมดไม่มีปลาที่ไหนอยู่ได้หรอก  มันตายตั้งแต่เล็กๆแล้วและก้อไม่มีใครเอาปลาเล็กๆ มาทำปลาร้ากินกันหรอกนอกจากปลากระดี่ที่ตัวมันเล็กอยู่แล้ว   ปลาร้าปลากระดี่ซิดีหอมยิ่งเอาใบตองกล้วยมาห่อนะแล้วย่างไฟให้สุกกลิ่นหอมใบตองกล้วยนะ...แล้วซอย หัวหอมซอยตะไคร้บางๆ เอาบางๆ นะพิถีพิถันหน่อย  โรยเข้าไป  บีบมะนาว  พริกขี้หนูแห้งย่างไฟให้หอมๆ ยีลงไปอีก  ความเค็มในเนื้อปลาความเปรี้ยวของมะนาว  ความหอมของใบตองย่าง  พริกย่างหัวหอมรวมกันเข้า   ความเผ็ดร้อนของพริกช่วยให้เจริญอาหาร  หัวหอมสดๆชู้มันเลยแหละ  รวมกับตะไคร้หอมเย็นบำรุงธาตุป้องกันท้องเสียร้องร่วงได้อีก   หิวๆ เหนื่อยๆ ร้อนๆ  กินกลางสวนกลางไร่อย่างนี้ได้บรรยากาศเป็นที่สุด  แล้วนี่ที่กินเนี่ยปลาร้าปลาช่อนนะ  ไปดูซิปลาช่อนตัวโตๆ ทั้งนั้น  ถึงจะมาจากในฟาร์มก็เถอะ  น้ำต้องสะอาดไม่งั้นปลาอยู่ไม่ได้   ปลาเนี่ยเป็นอาหารที่สะอาดเนื้องี้ขาวจั๊วเลย  เลือดในเนื้อปลาแทบจะไม่มีเลยไม่ว่าปลาอะไรทั้งนั้น 

คนญี่ปุ่นเห็นไหมที่ว่าฉลาดๆ ตัวโตๆนะ   ไม่ยุ่นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว กินปลากันทั้งประเทศ   กินปลากันเป็นอาหารทั้งปลาดิบปลาสุก ปลาแห้ง  ปลาร้า  แต่เขาไม่เรียกปลาร้าเขาเรียกอะไรนะ  เอ้อ..นึกไม่ออกเสียแล้วซิ   แล้วเป็นไงเห็นรึยัง   ปลาร้าไม่ใช่ว่าไม่ดี  ดียิ่งกว่าปลาเค็มปลากุเลาเสียอีก  ปลาร้าเขาคลุกกับเครื่องปรุงมากมาย   ตอนทำนะต้องรีบทำตอนที่เนื้อปลายังสดๆ อยู่ไม่ใช่เอาปลาเน่ามาทำ  แมลงวันซักตัวก็ไม่ให้ตอมเดี๋ยวมันจะมาวางไข่เป็นหนอน  เสียของ....ขาดทุน....ไอ้ที่เห็นหนอนในปลาร้านะมันเป็นความชุ่ยของพวกพ่อค้าแม่ค้าต่างหากที่ไม่ระมัดระวัง   เปิดอ้าซ่าวางไว้ในตลาดนะแมลงวันมันเยอะอย่างกะอะไรดี   หนอนนะมันมาเกิดทีหลังนี่  มีเหรอแม่ค้าพ่อค้าคนไหนเขาจะซื้อปลาร้าเป็นหนอนมาขาย  ไม่มีหรอก    คนทำก็เหมือนกันเขาก็รีบทำรีบคลุกแล้วเอาลงไหปิดไว้มิดชิดไม่ให้อะไรเข้าไปได้   แม้แต่ลมยังไม่ให้เข้าไปเลยมันมีเชื้อแบคทีเรียอยู่ในอากาศเยอะ   ปิดเสร็จแล้วเอาไปหมักไปบ่มอีกตั้งหลายเดือนกว่ามันจะเข้าที่ พิถีพิถันเหมือนทำไวน์นั่นแหละ  ไวน์ยังสกปรกกว่าซะอีก  บางที่เอาองุ่นใส่ถังแล้วให้สาวๆ เอาส้นตีนลงไปเหยียบไปย่ำให้น้ำมันออกมา   คิดดูซิตีนฝรั่งนะมันเหม็นแค่ไหนแล้วมันย่ำทุกวันๆ  เปื่อยไหมหนังตีนนะ   บางคนหาว่านั่นแหละดีวิธีดั้งเดิม....ของแท้ต้องส้นตีนเหยียบ... ได้รสชาด... ยิ่งหมักนานยิ่งดีมีคุณภาพ....น้ำส้นตีนหมัก..ฮ้า..ฮ้า..  แต่เขาก็เอามากลั่นแล้วนะผ่านความร้อนแล้ว ..แล้วไง.. ปลาร้าก็ย่างไฟแล้วต้มแล้วจนสุก   มันต่างกันตรงไหน   ปลากุเลายังแค่เอาไปยัดไว้ในเกลือพอเกลือซึมเข้าเนื้อก็เอามาตากเหม็นจะตาย   เครื่องปรุงเครื่องเทศอะไรก็ไม่ใส่  ยิ่งตอนตากนะบางเจ้านะไม่ใช่ทุกเจ้าแมลงวันหัวเขียวตัวโตๆ  เกาะกันเป็นร้อย  เผลอแป็บเดียววางไข่ครึ่งวันเป็นหนอนชอนไช  ก็เก็บมาเขี่ยเอาหนอนออก   เอาปลาใส่ถุงแขวนไว้ขาย คนไม่รู้ก็นึกว่าดีเจ้านี้สะอาดใส่ถุงเรียบร้อย  บางทีลูกค้าเห็นหนอนทนโท้ยังมีหน้ามาโฆษณาอีกนะว่าของดีไม่มีสารกันบูดไม่มียาฆ่าแมลง  แล้วไง....เชื่อ...ซื้อ...แพงด้วย...ของดีไม่มีสารพิษเจือปน...มันโง่หรือมันบ้าวะ...(ไม่รู้ใครเหมือนกัน)  แล้วที่ว่าเหม็นๆ  นะลองเอาปลากุเลากับปลาร้ามาวางคู่กันแล้วดมซิว่าอะไรมันจะเหม็นกว่ากัน  โธ่!....ค่านิยมบ้าๆ  ทีนี้รู้รึยัง  “กินอิ่มทุกคาบ กินลาบทุกมื้อ”  ที่พ่อบอก  แล้วพี่ชายมันก็ถึงบางอ้อ..

นิทานเรื่องนี้ของพ่อมันให้แง่คิดดีจริงนะพ่อ  กินอะไรก็อยู่ได้ถ้ากินเพื่ออยู่   ตอนผมเข้ามาเรียนหนังสือในกรุงเทพฯเมื่อก่อนไข่เค็มใบเดียวผมยังกินกับข้าวได้ตั้งสองมื้อ เออ!...แล้ววันพระหน้านี้พ่อจะกินอะไรเดี๋ยวผมจะทำไปใส่บาตรให้... 

ปรีชาเป็นคนที่ไม่ค่อยอยู่นิ่งโดยเฉพาะในสมองของเขา   ชอบคิดนั่นคิดนี่   คิดแล้วก็เอามาทดลองทำมันเป็นนิสัยที่เขาได้รับมาจากพ่อของเขา  บางครั้งคิดอะไรไม่ออกเขาก็จะนั่งคิดถึงความหลังครั้งที่พ่อยังมีชีวิตอยู่แล้วก็จะถามคำถามนั้นกับพ่อดูว่าพ่อเขาจะคิดอย่างไรแล้วก็ได้ผลทุกครั้งไม่ว่าจะเป็นปัญหาอะไร  ปัญหาเล็ก   ปัญหาใหญ่ ปัญหาส่วนตัว  ปัญหาครอบครัว   ปัญหาชุมชน  ปัญหาสังคม 

“ทุกปัญหาแก้ได้ถ้าเราจะแก้ ไอ้ที่แก้ไม่ได้ก็เพราะไม่ตั้งใจแก้ บางคนเหยียบขี้ไก่ยังไม่ทันฝ่อก็ท้อแท้ถอดใจไปเสียแล้ว อย่างนี้จะไปสู้อะไรกับใครเขาได้ ”

มัวแต่คิดถึงความหลังคิดถึงพ่อเลยไม่ทันได้ระวังสติ  ไม่รู้ตัวว่าอาบน้ำเสร็จเมื่อไหร่  แต่งตัวยังไง   ทุกอย่างเป็นไปอย่างอัตโนมัติเป็นไปตามความเคยชินเพราะจิตใต้สำนึกมันรู้อยู่แล้วว่าห้องน้ำอยู่ที่ไหนก๊อกน้ำ  สบู่ ผ้าเช็ดตัวอยู่อย่างไร   ไม่ต้องมองก็หยิบถูก 

ปรีชาในชุดกางเกงยีนส์สีน้ำเงินเนื้อหนานุ่มที่ซีดจางลงไปบ้างบริเวณหน้าขาและขอบกระเป๋า   เสื้อยืดคอกลมสีขาวทับด้านนอกอีกชั้นด้วยเสื้อแจ็กเก็ตผ้าฝ้ายสีดำลายเมืองเหนือ  เขาเดินออกมาจากห้องนอนด้วยความสดชื่นหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ  พอเห็นเจ้าโจนอน หมอบเฝ้าลูกปิงปองสีส้มอ่อนที่วางอยู่บนพื้นข้างปากของมัน   เขาก็รู้ได้ทันทีว่าสองคนนั้นตกลงพักอยู่ที่บ้านชมจันทร์   ยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากพร้อมกับเสียงหัวเราะหึ หึ ในลำคอเป็นบทสนทนาหนึ่งในใจปรีชาที่เล็ดลอดออกมาเสมอเวลาเขาอยู่คนเดียว  วิตามินซีในกระป๋องบนหลังตู้ถูกหยิบออกมาหนึ่งเม็ดยื่นให้เจ้าโจและการตบเบาๆ สองสามทีที่แผงคอพร้อมคำพูด  “ดีมากโจ”  เป็นรางวัลที่เขาจะให้มันทุกครั้งเมื่อทำงานสำเร็จ

“ ไป”   ปรีชาชวนเจ้าโจออกไปที่โรงครัว   ระหว่างทางมันก็วิ่งไปดมนั่นทีดมนี่ที  บางครั้งมีกระรอกตัวเล็กๆ ลงมาหากินตามพื้นหญ้าเจ้าโจก็จะไล่ตะคลุบแต่ด้วยความที่มันตัวโตปุกปุยอุ้นอ้ายเลยทำให้มันไม่เคยจับกระรอกได้สักทีซึ่งปรีชาก็ปรารถนาที่จะไม่ให้มันจับได้อยู่แล้ว   พอเจ้าโจวิ่งลิ้นห้อยหอบแฮกๆ กลับมาเขาก็มักจะพูดกับมันว่า  

“ เป็นไง เหนื่อยละซิ สมน้ำหน้า อยากแกล้งเขาดีนัก” 

หกโมงเย็นกว่าๆ ดวงอาทิตย์พึ่งลับขอบฟ้าไป  ยังคงเหลือเพียงแสงสีเทาเรืองๆ ที่เล็ดลอดขอบฟ้าขึ้นมาให้พอมองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวได้บ้างเล็กน้อย   เขารีบเดินไปให้ถึงโรงครัวก่อนที่เวทีกลมๆ ใบนี้จะมืดสนิทจนมองไม่เห็นอะไร  พอถึงตอนนั้นฉากหลังสีดำผืนใหญ่ก็จะค่อยๆ เลื่อนลงมาเพื่อขับแสงจากดวงดาวนับล้านดวงให้เปล่งประกายเจิดจ้าห้อมล้อมแม่จันทราผู้เลอโฉมที่คอยขับกล่อมมวลมนุษย์อยู่ทุกราตรี

พระสุริยาเจิดจ้าว่าแรงร้อน     แห้งเหือดขอดพระสมุทรสุดตาสาย
เกิดดินแยกแตกระแหงฟุ้งกำจาย    ยังความตายสุดหล้าฟ้าบาดาล
ทั้งอินทร์พรหมยมโลกโศกกำสรด    สุดสลดพระฤทธาโลกาผลาญ
แสนโกฏิชาติสาดให้โลกวายปราณ พอถึงกาลพระยังโปรดยกโทษให้
เกิดง้วนดินผินผึ่งหอมหึ่งกิเสล     ทั้งพรหมเปรตลงมาพาหลงใหล
ก่อสังขารสังวาสสังเวยวัย     วนเวียนไปในวัจจะวัฏฏะเดิม

ปรีชานึกย้อนไปถึงการกำเนิดโลกและมนุษย์ที่เคยอ่านในพระไตรปิฎกแล้วร้อยเรียงมันขึ้นมาบนกระดาษขณะที่นั่งรอสองหนุ่มสาว...(5)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น