วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

sense รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส...(7)




ปรีชาลุกขึ้นแล้วถือแก้วเดินเข้าไปวางไว้บนโต๊ะเตรียมอาหารขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องครัวโดยมีดาและหนุ่ยเดินตามเข้ามาติดๆ พอเข้ามายืนในห้องครัวเขาก็ยังนึกไม่ออกว่าจะทำอาหารอะไรเลี้ยงแขกของเขาดี   อาหารสดส่วนใหญ่ยังแข็งเป็นน้ำแข็งอยู่ในตู้แช่จะมีก็แต่หมูชิ้นเขื่องๆ ชิ้นหนึ่งที่เหลือจากการทำอาหารเมื่อวานนี้และผักอีกสองสามอย่าง   เขาหยิบหมูจากตู้เย็นออกมาวางไว้บนเขียง  มะเขือเทศลูกใหญ่ๆ สี่ลูก  หอมหัวใหญ่  อีกสองหัว

“ ผมว่าเราน่าจะทำสปาเก็ตตี้โบลองเนสกันดีกว่าเร็วและอร่อยด้วยหรือพวกเราว่าไง”
“ ดีค๊ะ   เป็นอาหารจานโปรดของหนูเลยค๊ะ แต่หนูทำไม่เป็นนะ”
“ ผมช่วยด้วยครับ  ต้องทำอะไรบ้างครับ”  หนุ่ยอาสาช่วยเพราะปกติเขาก็ชอบทำอาหารเองที่บ้าน
“ ดีเลย  คนที่ทำไม่เป็นก็ต้องบริการอย่างอื่น  หนูดาลองดูซิ เดอ ลองกองเย็นๆ ในตู้เย็นอีกสักขวดน่าจะดี  แต่ไม่ใช่ของหนูคนเดียวพวกเราด้วยจริงไหมหนุ่ย”
“ ครับคุณลุง”
“ แล้วคุณแขนใหญ่กำลังข้อดี  คนหนุ่มต้องออกแรงหน่อย   คุณสับหมูนะ   เอาหมดนั่นเลยแหละ   เดี๋ยวผมจะหั่นหัวหอมกับมะเขือเทศเอง”
ขณะที่ทำอาหารปรีชาก็เล่าเรื่องต่างๆให้ทั้งสองคนฟังไปเรื่อยๆ
“ หัวหอมนี่นะมันฉุนจริงๆ  หั่นทีไรเป็นเรื่องทุกที   มันแสบตาจริงๆ”
“ ผมก็เป็นเหมือนกันครับ ”
“ มาแล้วจ้า   เลอลองกองเย็นเจี๊ยบ   แก้วของคุณลุงอยู่ไหนค๊ะ” 
ปรีชายกแก้วขึ้นดื่มไวน์เก่าจนหมดแล้วยื่นให้ดาเติมใหม่จนเต็ม
“ โนๆ...หนูดาไม่ใช่อย่างนั้นจ้า..เวลารินไวน์นะไม่ต้องรินจนเต็มเอาแค่สองในสามก็พอ  ไม่งั้นเวลาชนแก้วเสียงมันจะบอดไม่ใสกังวาล และพอรินเสร็จต้องหมุนขวดนิดหนึ่ง
“ ทำไมละค๊ะ”
“ หมุนขวดเพื่อที่จะให้ไวน์ที่ติดอยู่ปากขวดไหลวนลงไปในขวดไม่หยดลงพื้นหรือบนผ้าปูโต๊ะ  โดยเฉพาะถ้าเป็นไวน์แดงติดแน่นเลยนะซักไม่ออก”
“ แล้วหมุนยังไงละค๊ะ ”
“ เอามานี่ซิผมจะทำให้ดู ”   ปรีชารับแก้วของดากับขวดมารินไวน์ลงไปเล็กน้อยแล้วพลิกข้อมือหมุนขวดให้ดาดูเป็นตัวอย่าง
“ อ๋อ! เข้าใจแล้วค๊ะ”
“ เอ้า เอาไปลองทำดู”  ดารับแก้วไปฝึกหมุนขวดแล้วเดินอ้อมโต๊ะไปหาหนุ่ย
“ ที่รักจ๊ะ ด้วยใช่ไหมจ๊ะ” 

หนุ่ยมัวง่วนอยู่กับการสับหมูจึงไม่ได้ตอบดาเพียงแต่สบตาแล้วพยักหน้า   เสียงมีดที่หนุ่ยสับหมูนั้นกระทบกับเขียงรัวเป็นจัวหวะเร็ว กั๊ก..ๆ..ๆ..ๆ
“ แหม!..เสียงหนุ่ยสับหมูนี่มันเร้าใจจริงๆ  นี่ถ้าเป็นทางเหนือนะ   สาวๆ มาเห็นเข้าเป็นต้องสกิดแม่แน่เลย”
“ ทำไมละครับ ”
ทางเหนือนะเขาว่ากันว่า  ผู้ชายบ้านไหนที่สับหมูได้รัวกั๊กๆๆๆแบบนี้เนี่ยส่วนใหญ่จะเป็นคนขยัน  ทำอะไรเร็ว   ถ้าใครได้เป็นสามีแล้วรับรองไม่อดตาย   ผู้หญิงก็เหมือนกันนะถ้าตำน้ำพริกได้รัวกอ๊ก..ๆ..ๆ..ๆแบบนี้ละก้อ  เขาบอกว่าใครได้มาเป็นภรรยาแล้วสบายไปแปดอย่าง   ไม่เหมือนกับพวกที่ทำอะไรยานคางเนิบๆ   ตำน้ำพริกก็นั่งเอาคางเกาะเข่าก๊อก.....ก๊อก....ก๊อก....อย่างนี้ละก็ไม่ทันกิน  ไม่มีใครเขามาขอไปเป็นคู่หรือได้ไปเป็นคู่ก็เหนื่อย   ถ้าจะวิเคราะห์กันทางด้านจิตวิทยาแล้วก็เห็นจะจริงนะ  คนขยันเวลาทำอะไรก็จะตั้งหน้าตั้งตาทำให้มันเสร็จๆ จะได้รีบไปทำอย่างอื่นต่อ  ในสมองก็จะวางแผน  คิดอยู่ตลอดเวลาว่าทำนี่เสร็จแล้วจะทำอะไรอีกต่อไปมันต่างกับพวกขี้เกียจทำอะไรก็เนิบๆ  กลัวมันเสร็จเร็ว  กลัวจะถูกใช้งานต่อ  ใจก็คิดถึงเรื่องอะไรเหลวไหลไปร้อยแปดจริงไหม ” 

“ มันก็จริงนะลุง ”
“ เอาละหมูพอแล้วละเอียดมากก็ไม่ดี  เวลาเอามาผัดแล้วมันจะแข็ง ปกติแล้วเขาจะใช้เนื้อวัวหรือไม่ก็ใช้สองอย่างรวมกัน  เนื้อวัวมันเป็นรสชาดของยุโรป   เขาบอกว่ากลิ่นมันหอมกว่าและไม่มีไขมันมากเหมือนเนื้อหมู”
“ เอ้า  หนูดาจุดเตาเลยลูก   เอากะทะขึ้นตั้งใส่น้ำมันลงไปหน่อยประมาณสองช้อนโต๊ะ   เดี๋ยวพอน้ำมันร้อนแล้วเอาหัวหอมนี่ไปผัดให้สุก เอาเกลือป่นในกระปุกนั้นใส่ลงไปด้วยช้อนหนึ่งช้อนก็อยู่ในนั้นแหละ ไม่ต้องใช้ไฟแรงนะแค่กลางๆ ก็พอเดี๋ยวผิวมันจะไหม้ก่อนที่ข้างในจะสุก” 
ดาจุดเตาตั้งกะทะใส่น้ำมันแล้วรับหัวหอมจากปรีชาไปผัด   เสียงหัวหอมโดนน้ำมันร้อนในกะทะดังฉ่า   ครู่เดียวก็ส่งกลิ่นหอมฟุ้งห้องครัว พอปรีชาหั่นมะเขือเทศเสร็จก็ไปเอาหม้อมาใส่น้ำตั้งไฟอีกเตาหนึ่งใส่เกลือลงไปนิดหน่อยพอให้น้ำมีรสเค็มนิดๆ  แล้วบอกหนุ่ยให้ส่งหมูสับไปให้ดาผัดกับหัวหอม
 
ปรีชาแอบมองสองหนุ่มสาวยืนคู่กันอยู่หน้าเตา  ดากำลังใช้ตะหลิวจิ้มลงไปที่หมูสับเพื่อให้มันแตกตัวเสียงตะหลิวกระทบกับกะทะดังแก็ก..ๆ.ๆ.ๆ หนุ่ยส่งแก้วไวน์ไปจ่อที่ปากให้ดาดื่ม  แล้วหอมแก้มดาโดยที่ทั้งคู่ไม่ได้สังเกตุว่าปรีชากำลังยืนมองอยู่  แสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปดิจิตอลสว่างวาบขึ้น ทั้งหนุ่ยและดาต่างก็หันหน้ากลับมาหาแหล่งกำเนิดแสงพร้อมกันปรีชาก็กดชัดเตอร์ลงไปอีกครั้งหนึ่ง “ ช่างเป็นภาพที่สวยงามมาก ” ปรีชาคิดในใจ

“ สวยไหมค๊ะคุณลุง ขอดาดูหน่อย”
“ ต้องสวยอยู่แล้วแหละ   คนกำลังมีความสุขถ่ายรูปออกมายังไงก็สวย”  


ปรีชาตอบขณะที่ปรับกล้องถ่ายรูปให้อยู่ในโหมดเช็คภาพแล้วส่งให้หนุ่ยที่ยืนอยู่ข้างดาถือไปดูกันสองคน   พอดาเห็นภาพที่หนุ่ยกำลังหอมแก้มเธอ  ทำให้เธอยิ้มออกมาอย่างพอใจแล้วหอมแก้มหนุ่ยตอบไปครั้งหนึ่ง  เธอหันกลับมาทางปรีชาทั้งๆ ที่ตะหลิวยังอยู่ในมือ
“ คุณลุงขา  ภาพนี้หนูขอนะค๊ะ”
“ ได้จ๊ะ  เดี๋ยววันกลับผมจะปรินซ์ให้หรือหนูมีแฮนด์ดี่ไดรว์ติดมาไหมผมจะได้โหลดลงไปให้ ”
“ ผมมีโน๊ตบุ๊คติดมาด้วยครับ ”
“ อ้อ! ดีเดี๋ยวจะได้โหลดเก็บไปเลย ” 
ปรีชาไม่ต้องการทำลายบรรยากาศที่ทั้งสองคนกำลังมีความสุขอยู่กับการทำอาหารด้วยกันเขาจึงเดินไปหยิบเส้นสปาเก็ตตี้แห้งกับซอสมาเขือเทศเข้มข้นมาเปิดเองแล้วส่งให้หนุ่ย
“ พอหมูเหลืองน้ำแห้งดีแล้วเอามาเขือเทศในจานนั้นใส่ลงไปผัดพร้อมกับซอสมะเขือเทศเลยนะ   แล้วนี่เส้นสปาเก็ตตี้ใส่ลงไปในหม้อได้เลยน้ำเดือดแล้ว  เอาแค่สองในสามก็พอหมดนั่นมันเยอะเกิน”
“ ครับได้ครับ ”  

หนุ่ยรับของไปทำตามที่ปรีชาบอกพร้อมกับส่งกล้องคืนให้กับปรีชา
ดาผัดมะเขือเทศกับหมูจนเข้ากันดีแล้วแต่เธอสังเกตุเห็นว่ามันแห้งไปจึงร้องถาม ปรีชาก็บอกให้เติมน้ำลงไปพอขลุกขลิกเติมเกลือเติมน้ำตาลปรุงรสจนได้ที่
“ เอาละ  เป็นอันว่าเสร็จพิธีก่อนปิดเตาหนูดาเอาผงออเรกาโนในขวดบนชั้นไม้นั้นใส่ลงไปหน่อยนะ   ประมาณว่าช้อนชาพูนๆ  เครื่องเทศพวกนี้ต้องใส่ทีหลังสุด  อย่างพวกต้นหอมผักชีใบมะกรูดใบกะเพรานี่ก็เหมือนกัน  ใส่แล้วคนๆให้เข้ากันก็เสริฟได้เลย ”
“ ทำไมต้องใส่ทีหลังละค๊ะ”  ดาถามด้วยความสงสัย
ถ้าเราใส่พวกนี้ก่อนหรือใส่เร็วเกินไป  กลิ่นหอมของมันจะละเหยไปหมดและอีกอย่างหนึ่งถ้ามันโดนความร้อนมากๆพวกสารบางอย่างที่อยู่ในนั้นก็จะออกมามาก  อาจจะทำให้อาหารมีรสขมก็ได้  เขาจึงต้องให้ใส่ทีหลังก่อนดับไฟยกลงจากเตา
“ คุณลุงครับแล้วเส้นนี้ยกลงได้หรือยังครับ”
ปรีชาทำเสียง ฮือๆ แก้วไวน์คาปากอยู่พูดไม่ได้ เพียงแต่โบกมือห้าม

“ ยังๆ  ลองเอาเส้นขึ้นมากัดชิมก่อน  ถ้ามันนุ่มดีกัดแล้วติดฟันนิดๆ ถือว่าใช้ได้   ก็ยกลงมาเทใส่กระชอน   เอาน้ำเย็นราดไปนิดหนึ่งให้ทั่วๆ ให้น้ำแป้งออกจากเส้นให้หมด  ทิ้งไว้พอสเด็ดน้ำก็เอามาใส่ชามใหญ่ตัดเนยแข็งเท่าหัวแม่มือสักสามก้อนลงไปคลุกบางทีไม่มีเนยแข็งจะใช้น้ำมันพืชก็ได้แต่มันไม่หอมไม่ออกกลิ่นอิตาลีเท่านั้นเอง ”
“ ได้ครับ   ผมทำเป็นแล้ว  คุณลุงจะพักก่อนก็ได้นะครับเดี๋ยวผมจะยกไปเสริฟ ”
ปรีชาเดินออกจากห้องครัวไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม  จุดเทียนเล่มใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางโต๊ะแล้วหยิบไปน์ขึ้นมาบรรจุยาเส้นสูบอย่างสบายใจ  ยาเส้นกลิ่นวานิลาปล่อยควันออกมาลอยละล่องส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณที่เขานั่งอยู่
“ มาแล้วครับ สปาเก็ตตี้จานเด็ด” 

หนุ่ยยกจานสปาเก็ตตี้มาทีเดียวสามจาน  มือซ้ายถือสองจานซ้อนกันมือขวาถือหนึ่งจานท่าทางทะมัดทะแมนเหมือนพนักงานเสริฟมืออาชีพ  อันที่จริงมันเป็นประสบการณ์เดิมที่เขาเคยไปทำงานเป็นพนักงานเสริฟชั่วคราวหาเงินเรียนเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระทางบ้านในช่วงที่เขาเป็นนิสิตมหาวิทยาลัย
ดาเดินตามมา  สองมือถือแก้วไวน์  แม้ว่าอากาศจะเย็นลงบ้างแล้วแต่ด้วยความร้อนจากเตาผสมกับฤทธิ์ของเลอลองกองทำให้เธอถึงกับหน้าแดงมีเหงื่อผุดเม็ดเล็กๆบริเวณไรผมและจมูก 
“ กลิ่นอะไรค๊ะ หอมจัง ” 
ดาทักมาแต่ไกลพอเธอได้กลิ่นยาเส้น   ปรีชาเบี่ยงตัวเล็กน้อยเพื่อให้เธอเห็นไปน์ที่อยู่ในมือเขาโดยไม่พูดอะไร พอมาถึงโต๊ะดาก็หย่อนตัวลงนั่งเก้าอี้ตัวที่ติดกับปรีชา  หนุ่ยจึงนั่งตัวถัดไป
“ เอา! กินกันเลยนะตอนร้อนๆ  เดี๋ยวเย็นแล้วไม่อร่อยเส้นจะแข็งหมูจะเป็นไข ” 

ปรีชาชวนทุกคนให้ร่วมกินอาหารมื้อแรกด้วยกัน
“ อ้า!.. เดี๋ยวก่อน ”  ปรีชาชูแก้วของเขาขึ้น  “ แก้วนี้สำหรับกุ๊กสาวของเรา   จริงไหมคุณหนุ่ย ”  หนุ่ยยกแก้วของเขาขึ้นมาพร้อมกับดา
“ ครับ สำหรับกุ๊กสาวคนสวย ”   หนุ่ยชมภรรยาสาวของเขา
“ ไม่หรอกค๊ะ  สำหรับทุกคนค๊ะและก็เป็นพิเศษสำหรับคุณลุงที่สอนดาทำสปาเก็ตตี้วันนี้   แต่รสชาดดายังไม่รับรองนะค๊ะ ”  

เสียงแก้วไวน์ทั้งสามชนกันกลางอากาศดังกริ้ง..กริ้ง...กริ้งอีกครั้งหนึ่ง
“ เดี๋ยวๆ...เอาใหม่ๆ..อย่างนี้ไม่ถูก ”  ปรีชาทักท้วง  “ การชนแก้วกันเนี่ย  เขาต้องมองตากันด้วยไม่อย่างนั้นแล้วจะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศไปถึงเจ็ดปีเชียวนา”
“ จริงหรือค๊ะ”
“ เปล่าจ้าลุงล้อเล่น   ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก  จริงๆนะตามธรรมเนียมแล้วเจ้าของแก้วต้องส่งสายตากัน  ชนแก้วกับใครก็ต้องส่งสายตาให้กับคนนั้น มองตามแก้วไปจนแก้วใกล้จะถึงกันก็ละสายตาจากแก้วมาส่งสายตากันให้เขาเห็นสายตาเราและเราเห็นสายตาเขาอย่างนี้จึงจะเรียกว่าเปิดประตูมิตรภาพที่แท้จริงเพราะดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ  หากมัวแต่มองแก้วแล้วเมื่อไหร่จะรู้ว่าหัวใจอีกคนเปิดรออยู่ จริงมะ  แล้วมันก็จะครบ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส” 
แล้วทุกคนก็ชนแก้วพร้อมกับส่งสายตากลั้วเสียงหัวเราะกันอีกครั้งหนึ่งก่อนจะใช้ซ่อมม้วมเส้นสปาเก็ตตี้ที่โรยหน้าด้วยเนยผงปาม่าซานกินกันอย่างอะเร็จอร่อย  ตลอดเวลาที่กินกันนั้นหนุ่ยกับปรีชาก็ออกปากชมว่าดาทำอาหารได้อร่อยอยู่หลายครั้ง  ดาแทบไม่เชื่อตัวเองว่าเธอจะสามารถทำอาหารได้อร่อยจริงจนปรีชาต้องสร้างความมั่นใจให้กับเธออีกครั้ง
“ การที่จะทำอาหารให้อร่อยนะไม่ใช่ว่าใครๆ ก็ทำได้  จริงอยู่ใครๆ ก็ฝึกทำอาหารให้เป็นได้เพราะมีตำราให้ดูเยอะแยะ  ก็ใส่ตามที่เขาบอกเหมือนอย่างที่ลุงบอกหนูวันนี้แหละ  สำคัญมันอยู่ที่ว่าคนทำนั้นจะเป็นคนที่ช่างสังเกตุหรือไม่ว่าอะไรคือสุกอะไรคือพอดี  สังเกตุอุปกรณ์หรือวัตถุดิบว่าเตาที่ใช้นั้นไฟอ่อนไฟแรงเป็นอย่างไร   น้ำปลาซีอิ้วเต้าเจี้ยวเค็มมากเค็มน้อยแค่ไหน เวลาทำก็อย่าประมาทใส่ลงไปทีเดียวมากเพราะถ้าพลาดแล้วแก้ลำบาก  เรื่องอาหารเนี่ยและที่สำคัญมากๆก็คือต้องเคยไปกินเจ้าที่เขาว่าอร่อยๆ มาแล้ว  จำให้ได้ว่ารสชาดมันเป็นอย่างไร อย่างหนูเนี่ยชอบกินสปาเก็ตตี้ใช่ไหม  หนูเคยกินมาหลายที่และก็จำได้ว่าสปาเก็ตตี้โบลองเนสที่อร่อยมีรสชาดอย่างไร พอหนูทำเองหนูก็เลยสามารถปรุงรสมันออกมาได้อร่อยไง แต่สิ่งสำคัญที่จะทำให้อาหารอร่อยได้นั้นต้องอย่าลืม "ใส่ใจ" ลงไปด้วย"

พออธิบายเสร็จปรีชาก็ม้วนสปาเก็ตตี้ที่เหลือก้อนสุดท้ายในจานใส่ปากแล้วหลับตาส่ายหน้าช้าๆ ทำเสียงพึมพำ “ อือ...อาหย่อย ” ทำให้ดาถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่
“ อาหารอิตาลีก็เห็นจะมีแต่สปาเก็ตตี้กับพิชช่านี่แหละนะที่โด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก   แล้วอาหารไทยละ   ใครรู้บ้างว่าอะไรโด่งดังที่สุด ”
“ ต้มยำกุ้งหรือเปล่าครับ ”
“ ใช่.. แล้วอะไรอีก ”
“ ผัดไทยค๊ะ”
“ ใช่   มีอะไรอีกไหม ........จริงๆ แล้วก็เห็นจะเป็นต้มยำกุ้งนั่นแหละที่โด่งดังที่สุด  คือฝรั่งนึกออกว่ามันเป็นอย่างไรแต่ผัดไทยนั้นที่ร้านอาหารไทยในต่างประเทศก็มีขายกันแทบทุกร้านไม่ว่าจะเป็นร้านของคนจีนหรือของคนไทยก็ตาม  ที่น่าเสียดายคือเขาไม่ค่อยเรียกมันว่าผัดไทยส่วนใหญ่เขาเรียกมันว่าก๋วยเตี๋ยวผัดเฉยๆ เลยไม่ค่อยมีใครรู้จักคำว่าผัดไทย...

เอ้าแล้วนี่ทำไมเราถึงเรียกมันว่าผัดไทยละทำไมไม่เรียกมันว่าผัดจีนทั้งๆ ที่เส้นก๋วยเตี๋ยวมีต้นกำเนิดมาจากเมืองจีน เขาว่ากันว่าพวกเส้นสปาเก็ตตี้นี้ก็ได้แนวคิดมาจากเส้นก๋วยเตี๋ยวของจีนเหมือนกันนะอันนี้ไม่ยืนยัน  ส่วนขนมจีนก็เหมือนกันก็ไม่รู้ที่มาแน่นอนว่ามันมาจากไหน บ้างก็ว่ามาจากเมืองจีน บ้างก็ว่าเป็นของไทยนี่แหละแต่ดูวิธีการทำน่าจะมาจากคนจีน บ้างก็ว่าเป็นของคนมอญเพราะคนมอญเมื่อก่อนนี้เวลามีงานเลี้ยง ก็จะทำอาหารพวกเส้นแป้งพวกนี้ แล้วมันมีคำพูดหนึ่งว่า ขะหนอมจิน แปลว่าแป้งสุกแล้ว พอคนไทยได้ยินเข้า  ฟังเพี้ยนนึกว่าเขาเรียกแป้งเส้นนี้ว่าขนมจีนเลยเรียกมันว่าขนมจีนมาทุกวันนี้  ทั้งๆที่มันไม่ใช่ขนม ”
“ แล้วทำไมเขาถึงเรียกกันว่าผัดไทยละค๊ะ ”  ดาถามด้วยความสงสัย 
“ ตรงนี้ก็ต้องอ้างจอมพล ป. อีกแหละ จำได้ไหมที่ผมเล่าให้ฟังว่าท่านให้เปลี่ยนชื่อประเทศสยามมาเป็นประเทศไทยนะ   พอเป็นประเทศไทยแล้วท่านก็ต้องการให้มีอาหารประจำชาติ   ผมสงสัยว่าท่านก็คงจะชอบกินอาหารที่ทำมาจากเส้นก๋วยเตี๋ยวเหมือนกัน  ท่านจึงได้เลือกเอาเส้นก๋วยเตี๋ยวมาผัด   แทนที่จะเลือกแกงเขียวหวาน   แกงเผ็ดหรือผัดกระเพรานกหนูซึ่งมีอยู่มากมายและหาได้ง่ายตามท้องไร่ท้องนา  พอท่านเลือกที่จะเอาเส้นก๋วยเตี๋ยวมาผัดให้เป็นอาหารประจำชาติทั้งๆที่ก๋วยเตี๋ยวเป็นอาหารที่คนจีนนำติดตัวเข้ามาเผยแพร่ ไม่ใช่อาหารไทยแท้ดั้งเดิม   แต่ท่านก็หาเหตุผลมาประกอบให้สมอ้างว่าผัดไทยเป็นของไทยแท้คือต้องเริ่มด้วยการผัดกระเทียมกับเต้าฮู้เหลืองที่หั่นเป็นลูกเต๋า  ใส่กุ้งแห้งลงไป หัวไซโป้ว ซีอิ้วน้ำปลาน้ำตาล  ผัดให้เข้ากันแล้วตอกไข่ใส่ลงไปแล้วใส่เส้น  คลุกให้ทั่วเติมน้ำนิดหน่อย ตามด้วยต้นกระเทียมสด  ถั่วงอกดิบ  เป็นอันว่าเสร็จกินได้  กินกับต้นกระเทียม  ถั่วงอกสดหัวปลีอ่อน  พูดแล้วก็อยากกิน
  
สังเกตุไหมว่าผัดไทยไม่มีการใส่หมูใส่เนื้อ  ที่ไม่ใส่ก็เพราะว่าคนไทยในยุคนั้นส่วนใหญ่กินปลากินไก่เป็นอาหารหลัก จอมพลป. ท่านเห็นว่าหมูเป็นอาหารของคนจีน  และท่านต้องการให้ผัดไทยเป็นอาหารประจำชาติไทยจึงไม่ให้ใส่หมู  นอกจากนี้  ที่ผมว่าท่านคงจะชอบกินอาหารที่มีเส้นก๋วยเตี๋ยวเป็นส่วนประกอบก็คือนอกจากผัดไทยแล้ว ท่านยังได้ส่งเสริมให้คนไทยทั้งประเทศกินก๋วยเตี๋ยวกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน โดยท่านให้เหตุผลว่าก๋วยเตี๋ยวเป็นอาหารที่สะอาดทำร้อนๆ มีประโยชน์ต่อร่างกาย มีหมูมีผัก  ปรุงรสได้ตามใจคนกิน  ราคาถูก  ทำได้เองและอร่อยด้วย  อีกส่วนหนึ่งท่านก็ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจในยุคนั้นให้มีกระแสเงินหมุนเวียนภายในประเทศ ถึงกับมีนโยบายออกมาเลยนะ  ทำเป็นหนังสือเวียนไปทุกจังหวัดให้ข้าราชการตั้งแต่ผู้ว่าฯ  นายอำเภอ  ลงไปจนถึงครูในโรงเรียนให้ขายก๋วยเตี๋ยวกัน  ข้าราชการคนไหนอยากมีหน้ามีตาก็ขายก๋วยเตี๋ยวกันใหญ่   ตั้งแต่ยุคนั้นมาก๋วยเตี๋ยวเลยกลายเป็นอาหารคู่คนไทยมาจนถึงทุกวันนี้ ”...(8)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น