วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

favorited night อรรถรสราตรี...(5)



พอได้ยินเสียงสองหนุ่มสาวเดินเข้ามาใกล้โรงครัว   ปรีชาก็วางปากกาลงบนโต๊ะหันหน้าไปยิ้มต้อนรับอย่างเป็นกันเองแต่ดูท่าทางของทั้งสองคนยังไม่ค่อยผ่อนคลาย  ความเป็นคนแปลกหน้ายังคงบดบังรอยยิ้มไว้ไม่ยอมให้เปิดกว้างและด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ ที่ไม่รู้ว่าจะนั่งหรือจะยืนดี ปรีชาจึงเชิญทั้งสองให้นั่งร่วมโต๊ะกับเขา

“ เราเข้ามาขัดจังหวะคุณลุงรึเปล่าครับ”  หนุ่ยถามด้วยความเกรงใจ
“ เปล่าครับ   ยินดีซะอีกที่คุณทั้งสองตัดสินใจพักอยู่กับผมที่นี่  การอยู่คนเดียวเนี่ยแม้ว่ามันจะเป็นอะไรที่ดีที่สุดแต่บางครั้งการที่ได้อยู่กับคนที่เราถูกใจ  ถูกอัธยาศัย  มันก็ทำให้ชีวิตมีรสชาดไปอีกแบบ   มันเหมือนกับการใส่เครื่องปรุงใหม่ๆ ลงไปในอาหารที่เรากินอยู่เป็นประจำและถ้าเครื่องปรุงนั้นมันเข้ากันได้กับรสชาดเดิมของอาหารมันก็จะยิ่งทำให้อาหารมื้อนั้นโอชะและมีอรรถรสมากขึ้น  หิวกันรึยังครับ”
“ นิดหน่อยครับ หิวรึยังจ๊ะ”  ตอบคำถามปรีชาแล้วหนุ่ยก็หันไปถามดาที่นั่งกุมมืออยู่ข้างๆ
“ ยังไม่ค่อยหิว ค๊ะ”
“ ดีละ   เราจะได้มีเวลาเตรียมอาหารกัน   จะดื่มอะไรกันหน่อยก่อนไหม  ผมมีเดอลองกองอยู่   เป็นผลิตภัณฑ์ในหมู่บ้านที่ชาวบ้านเขารวมตัวกันตั้งสหกรณ์แล้วผลิตออกมาจำหน่าย   ผมเลยช่วยซื้อไว้   อันที่จริงก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากมายหรอกของมันชอบซะมากกว่า ”
“ อะไรครับลุง เดอลองกอง ”  หนุ่ยยังไม่เข้าใจดีว่ามันคืออะไร
“ มันเป็นไวน์ขาว  ที่ทำมาจากลองกอง”   หนุ่ยร้อง  “อ๋อ”
“ ลองหน่อยไหม  ผมแช่เย็นไว้สองสามขวด”
“ ดีครับ   แต่อันที่จริงผมก็มีติดมาสองสามขวดเหมือนกัน ..เคียนติ อิตาลี.. ครับ”
“ เอาเก็บไว้ก่อน   ลองนี่ก่อนไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้วเดี๋ยวไปเล่าให้ใครเขาฟังว่ามาพักอยู่ที่นี่แล้วไม่ได้ลิ้มรสเดอลองกองแล้วเขาจะไม่เชื่อ”
“ แล้วหนู....”  ปรีชาสบตาดาเพื่อที่จะเริ่มสนทนาแต่เขานึกชื่อเธอไม่ออก
“ ดาค่า...”
“ หนูดาจะดื่มอะไรดี”
“ ปกติดาไม่ดื่มค๊ะแต่...ถ้าโอกาสดีๆ หรืออยู่กับหนุ่ยดาก็ดื่มได้นิดหน่อย   เป็นเพื่อนเขานะค่ะ”
“ เป็นอันว่าวันนี้ นิดหน่อย”  

ปรีชาเอียงคอยกมือขึ้นทำท่านิดหน่อยให้ดาดูซึ่งนิ้วโป้งกับนิ้วชี้นั้นห่างกันประมาณครึ่งขวดแล้วดาก็ยกมือขึ้นมาทำท่านิดหน่อยของเธอโดยจีบนิ้วโป้งกับนิวชี้ห่างกันประมาณหนึ่งข้อมือพร้อมกับพูดกลั้วเสียงหัวเราพลอยให้ทุกคนหัวเราะตามไปด้วย

“ แค่นี้ค่ะ....ถ้านิดหน่อยอย่างคุณลุงว่ามีหวังดาต้องเมาตายแน่”
“ โอเค!...ได้..แล้วแต่สมัครใจแต่ถ้าจะเปลี่ยนใจทีหลังก็ไม่มีใครว่า ความจริงการดื่มนิดหน่อยเป็นสิ่งที่ดีแอลกอฮอล์เนี่ยมันเป็นยา...อย่าเรียกมันว่ายาเลย   มันเป็นสารอย่างหนึ่ง   อือ!..มันเป็นสารอย่างหนึ่งที่ทำให้ประตูจิตใต้สำนึกเปิด   ปกติคนเราเนี่ยพยายามที่จะประคองสติให้มีชีวิตอยู่ภายใต้การควบคุมของจิตสำนึก  ให้ชีวิตดำเนินไปบนหลักการที่มีความสมเหตุสมผล  อันนั้นก็ไม่ได้   อันนี้ก็ไม่ควร  อันโน้นก็ไม่เหมาะ  ทุกอย่างเป็นไปตามเงื่อนไขที่สังคมที่ศาสนาสร้างขึ้นมาแล้วเรียกมันว่า  กฏหมายบ้าง   ข้อห้ามบ้าง  ระเบียบปฏิบัติบ้าง ศีลบ้างหรือที่เราเรียกว่าวัฒนธรรมบางอย่างก็เหมือนกัน   ซึ่งมันก็มีข้อดีอยู่นะ  มันทำให้การอยู่ร่วมกันในสังคมของคนเรามีความเป็นระเบียบ  มีความสงบแต่ไม่รวมถึงความสุขนะและก็ง่ายแก่การปกครอง แต่ถ้าทุกคนในสังคมเป็นอย่างนั้นกันหมดเราก็คงกินแกงจืดกันทุกมื้อ แล้วคงจะไม่มีจินตกวีดังๆ อย่างสุนทรภู่เอย  เเชคเปียร์เอย ทอล สตอย์เอยหรือจิตกรอย่าง  ลีโอนาโด ดาร์วินชี  วินเซน ฟังก๊อกหรือนักวิทยาศาสตร์อย่างเช่นกาลิเลอี กาลิเลโอที่กล้ายืนยันความคิดเห็นของตนที่ค้านกับความเชื่อทางคริสตศาสนาที่ว่าโลกแบนจนสั่นสะเทือนไปทั้งศาสนจักร”  

เว้นวรรคหยุดหายใจนิดหนึ่ง

“ โน..โน.. เปล่า..ลุงไม่ได้กำลังบอกว่าทุกคนต้องดื่ม  ทั้งนี้มันขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะต้องรู้ว่าอะไรเหมาะ  อะไรไม่เหมาะกับตัวด้วยการทดลองก่อน  ถ้าอยู่กับมันได้และมีความสุขไม่ก่อให้เกิดความเสียหายก็โอเคนะ   แต่ถ้าไม่ได้  ควบคุมตัวเองไม่เป็นหรือบางทีสิ่งที่อยู่ในจิตใต้สำนึกนั้นมันรุนแรงมากถ้าปล่อยออกมาก็มีแต่สร้างความเสียหายความเดือดร้อนก็ต้องรู้ตัวเอา  ถ้าดื่มแล้วเป็นอย่างนี้ต้องหยุด  แต่ถ้าดื่มแล้วสนุก  มีความคึกคักในอารมณ์  ก็เชิญตามสะดวกแต่ตอนนี้ลุงรู้ตัวว่าชักจะคอแห้งซะแล้วซิ   รึว่าไงพวกเรา” 

ปรีชาเริ่มใช้คำว่าพวกเราเพื่อให้ทุกคนรู้สึกผ่อนคลายและมีความเป็นกันเองมากขึ้น   เขาขยับตัวจะลุกขึ้นไปหยิบไวน์

“ ให้หนูช่วยอะไรไหมค๊ะ”  ท่าทีที่แข็งกร้าวอย่างหวาดๆ ของดาค่อยๆลดลงหลังจากที่ได้สัมผัสตัวตนบางด้านของปรีชาบ้างแล้ว

“ หนูจะทำอะไรดีหละ  เอางี้ก็แล้วกัน   ผมจะไปหยิบไวน์  หนูไปเอาแก้วไวน์ในตู้มาสักสามใบ ”  

ปรีชาออกความเห็นในฐานะเจ้าบ้านและเป็นการทดสอบไหวพริบว่าเธอจะสามารถหยิบแก้วได้ถูกต้องหรือไม่  ขณะที่น้ำใจและความเป็นกันเองของเธอได้แสดงออกมาให้เห็นบ้างแล้ว  ปรีชามักจะทำเช่นนี้กับแขกของเขาเสมอเพื่อที่จะจัดอันดับได้ถูกว่าเขาควรจะพูดหรือจะทำอะไรกับใครลึกตื้นเพียงใด  ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีความไว้วางใจแขกของเขาหากแต่เขาคำนึงถึงอรรถรสของการสนทนาเป็นหลัก
เดอลองกองกำลังเย็นได้ที่ค่อยๆ ไหลรินออกจากปากขวดลงไปอยู่ในแก้วทั้งสามใบ   แก้วไวน์ทรงสูงเนื้อใสสะอาดทำให้มองเห็นแอลกอฮอล์สีอัมพันอ่อนที่อยู่ในนั้นวิ่งเป็นสายท้าทายให้ลิ้มลอง
ปรีชาเอื้อมมือไปรวบก้นแก้วที่อยู่ข้างหน้าเขาแล้วยกขึ้นมาเชิญชวนให้ทั้งสองร่วมดื่มในขณะที่หนุ่ยกับดาต่างก็บรรจงจับที่ก้านแก้วแล้วยกขึ้นมา

“ ยินดีต้อนรับและขอให้คุณทั้งสองมีความสุขตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่”

สองหนุ่มสาวหันกลับไปส่งสายตาให้กันแล้วหันกลับมาขานรับความปรารถนาดีที่ปรีชาหยิบยื่นให้

“ ขอบคุณครับ” “ขอบคุณค๊ะ”  

เสียงแก้วสามใบผลัดกันส่งเสียงกระทบสั้นๆ กริ้ง...กริ้ง...กริ้ง...เป็นสัญญาณของการเริ่มสัมพันธภาพใหม่ที่เสนาะหูยิ่งนัก แล้วทั้งสามคนก็ค่อยๆ บรรจงปล่อยให้น้ำสีอัมพันไหลเอื่อยเข้าไปกลั้วอยู่ในปาก ลิ้มรสหวานอมเปรี้ยวติดเฝื่อนนิดๆ กลั้วด้วยกลิ่นหอมของลองกองก่อนที่จะปล่อยให้มันซึมเข้าไปในสายเลือด

“ เป็นยังไงครับรสชาด   ผมโฆษณามากเกินไปหรือเปล่า ”
“ โอ้โห!..เยี่ยมเลยครับคุณลุง   ปกติผมไม่ค่อยดื่มไวน์ขาวผมว่ามันหวานไปถึงจะเป็นดรายไวน์ก็เถอะ  ส่วนใหญ่ผมจะดื่มไวน์แดงผมว่ารสชาดมันแมนดี   แต่เดอลองกองของคุณลุงเนี่ย   ผมว่ามันลงตัวระหว่างไวน์ขาวกับไวน์แดง อร่อยๆ ครับอร่อย..”
“ แล้วหนูละ  พอดื่มได้ไหม  มันไม่แรงหรอก  ประมาณสิบดีกรี  โดยประมาณนะ   เพราะที่นี่เขายังไม่มีการควบคุมที่ดีนัก  ง่ายๆคือเทคโนโลยียังไม่ถึงคงต้องรออีกสักระยะหนึ่ง  แต่ก็เอาหละ..พอได้..”
“ ดื่มได้คะ ”
“ แหม!.....ไอ้คำดื่มได้คะเนี่ยนะ   มันเหมือนไม่อร่อยหรือไม่เต็มใจดื่มอย่างงั้นแหละ”   ปรีชาเล่นหางเสียงกระเซ้าดา
“ อร่อยค่า.......อร่อยจริงๆ   ดื่มง่ายค๊ะ”  ดาก้มหัวลากเลียงยาวตอบเชิงทันเกม
“ คุณชื่ออะไรนะ   ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย  ผมปรีชา  จะได้เรียกกันถูก ”  ปรีชาหันไปถามหนุ่ย
“ ขอโทษครับที่เสียมารยาท  ผมภาณุ  ครับชื่อเล่นหนุ่ย ”   หนุ่ยนึกขึ้นมาได้ว่าตอนดาถูกถามชื่อที่หน้าประตูใหญ่เขาไม่ได้แนะนำตัว
“ อ้อ!..ชื่อนี้ดีนี่  เป็นภาษาบาลีแปลว่า  แสงสว่างหรือจะแปลว่าพระอาทิตย์ก็ได้นะ  แต่หนุ่ยนี่ซิมันน่าจะเป็นอะไรที่...แปลว่า  โหนก   โน นูนอะไรทำนองนั้น   แต่ก็ดีนะพระอาทิตย์ก็มีลักษณะอย่างนั้นอยู่แล้วนี่  ก็เหมาะสมดี  ใครตั้งให้หละ”
“ ไม่ทราบเหมือนกันครับ  ผมก็ไม่เคยถามพ่อกับแม่เลย   นี่ถ้าคุณลุงไม่พูดผมก็ไม่เคยคิดถึงมันเลยนะครับเนี่ย  ดีครับดี   ผมชอบความหมายของมันครับ”
“ แต่พ่อกับแม่ของคุณก็คงดูมาแล้วแหละว่ามันดี   ถึงได้เอามาตั้งชื่อให้คุณ”
“แล้วของหนูละค๊ะความหมายดีไหมค๊ะ”   ดาอยากรู้ความหมายชื่อของเธอขึ้นมาบ้าง
“ วิภาดา  หนูชื่อวิภาดาใช่ไหม... เออ!.. มันช่างเหมาะกันดีจริงๆ คุณสองคนเนี่ย  คนหนึ่งภาณุแปลว่าแสงสว่าง  ดวงอาทิตย์  อีกคนหนึ่ง ของหนูเนี่ยวิภาดา   เป็นคำภาษาบาลีเหมือนกัน  แปลว่าสว่าง”
“ แล้วชื่อเล่นละคะ   ดานะ”
“ ดา....เดี๋ยวให้ผมนึกก่อน...”  ปรีชาหยุดนิดหนึ่งเพื่อที่จะเรียงลำดับความคิดของเขา(โอ้! มายกอด...จะตอบเธอยังไงวะเนี่ยแมงดา..แมงดา...ไอ้แมงดา..ตายละกู..เออ!...)
“ ดาเนี่ย...มันมีหลายความหมายอย่างเช่น  ดาหน้าก็เรียงหน้ากระดานเข้าไปหา  ดาดาษ  ก็มากมายเยอะแยะ  หรือว่าดา แมงดานา ตัวมันหอมๆ  ยิ่งลนไฟยิ่งหอมเอาใส่น้ำพริกตำกินอร่อยดีคนโบราณชอบ   มันชอบมาตอมไฟเวลากลางคืน   เห็นตรงไหนสว่างมันก็ไปตอม”

โดยที่ไม่ได้สนใจที่จะฟังต่อไป ดาหมุนตัวหันหน้าไปอย่างเร็วใช้สองแขนโอบคอหนุ่ยโน้มเข้ามาเอาหน้าผากชนกันอย่างลืมตัว

“ คนโบราณเหรอ...คนโบราณเหรอ...ถึงว่าชอบแมงดาแล้วหอมไหมแมงดาตัวนี้...ตอบมาซะดีๆ นะ” 

หนุ่ยรู้สึกเคอะเขินนิดๆ ที่ดาแสดงบุคลิกภาพแบบฮีสธีเรียของเธอออกมาแต่ก็โอบไหล่เธอไว้เบาๆ

“ ชอบจ้า..ชอบ..หอมดีแล้วก็น่ารักด้วย ”
“ รักมากรึเปล่า”
“รักมากจ้า..รักมากที่สุดเลย..อื้อ..”  หนุ่ยใช้จมูกคลึงไปเบาๆ ที่แก้มของดาจนเธอรู้สึกพอใจละแขนจากคอของเขา

ปรีชานั่งหัวเราะหึ หึ ชอบใจแต่ก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่าที่ชอบใจนั้นเป็นด้วยวิธีการให้คำตอบของเขาหรือว่าชอบใจที่เห็นจริตจะกร้านน่ารักเหมือนเด็กๆ ของดาอาคันตุกสาว ...(6)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น