“ ลุงครับผมมีอะไรอยากจะถามหน่อยว่าลุงมีความเห็นยังไง ”
“ เอ้า ว่ามาเลยถ้าตอบได้ก็จะตอบ”
“ คืออย่างนี้นะลุง เมื่อกี้เราพูดถึงเรื่องการกอดกันการแสดงความรักต่อกัน ผมไม่แน่ใจว่าลุงจะมีความเห็นว่ายังไงระหว่างความรักกับความใคร่ เนี่ยว่ามันต่างกันยังไงและอะไรเกิดก่อนเกิดหลัง ”
“ โอ้!...นี่มันคำถามใหญ่นี่ ถามสั้นๆแต่ใหญ่มาก ถามง่ายแต่ตอบยาก มันเป็นคำถามงูกินหางเหมือนกับที่ถามกันว่าไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนเกิดหลัง เอาอย่างนี้ ก่อนอื่นเราต้องมาให้คำจำกัดความของคำว่าความรักก่อน ไหนคุณลองว่ามาซิว่าความรัก คืออะไร ”
“ ความรักคือความหวงแหน ความเป็นห่วง....”
“ ความชอบ ความผูกพันคะ”
“ ความรู้สึกยินดีกับเขาครับ ”
“ ความรู้สึกเป็นเจ้าของคะ”
“ ความรักคือการให้คะ”
“ ที่คุณทั้งสองพูดมานั้นมันก็ถูก แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมดของความรัก ความรักเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจของคนเรา ถามว่าคนเราจะมีความรักเกิดขึ้นทันทีเลยหรือ พอเห็นปุ๊ปรักปั๊ปเลยหรือ ”
“ มันก็มีนะค๊ะ ที่เขาว่ารักแรกพบ ไงค๊ะ ”
“ คุณคิดดูให้ดี เห็นปุ๊ปรักปั๊ปเลยหรือ เปล่านะมันเป็นไปไม่ได้หรอกที่ว่าเห็นปุ๊บรักปั๊บ คนเราจะเกิดความชอบขึ้นมาก่อนแล้วมันก็ตามมาด้วยความสนิทสนม ความผูกพัน ความหวงแหน ความรู้สึกเป็นเจ้าของ ความรู้สึกยินดี แล้วก็ความอะไรต่ออะไรอีกหลายอย่างจนบอกไม่ถูกบรรยายไม่ได้ว่ามันคืออะไรก็เลยเรียกรวมๆว่าความรัก อย่างเช่นเราเห็นคนๆหนึ่งที่มีอะไรบางอย่างเป็นคุณสมบัติพิเศษของเขาแล้วเราก็นึกชอบเขาขึ้นมา คำถามก็คือเราชอบอะไรในตัวเขา อย่างที่หนูเห็นหนุ่ยครั้งแรกหนูชอบอะไรในตัวหนุ่ย ”
“ หนูชอบที่เขาเป็นคนขยัน เป็นคนใจเย็น เป็นคนกตัญญูคะ ”
“ หนูรู้ได้ยังไงว่าเขาเป็นคนขยันเป็นคนใจเย็น ”
“ ก็หนูเห็นเขาเรียนแล้วเขาก็ยังทำงานช่วยพ่อแม่หาเงินไปด้วย”
“ หนูเห็นครั้งเดียวแล้วหนูก็รู้เลยหรือว่าเขาขยัน เขาอาจจะทำงานอย่างเซ็งๆ เบื่อๆ ทำไปอย่างนั้นแหละเพื่อให้ได้เงิน ”
“ ไม่ค๊ะ เวลาอยู่ที่มหาวิทยาลัยเขาก็จะมีเรื่องอะไรแปลกๆ ตลกๆที่เขาเห็นในที่ทำงานมาเล่าให้ฟัง หนูถามเขาว่าเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยไม่เหนื่อยหรือ เขาบอกว่าไม่เหนื่อยหรอก สนุกดี ใช่ไหมที่หนุ่ยบอกดาอย่างนี้ ” ดาหันไปขอคำยืนยันจากหนุ่ยที่นั่งพยักหน้าเป็นการยืนยัน
“ หนูชอบเขาก็ตรงนี้แหละ แล้วหนูก็คิดว่าถ้ามีเขาเป็นแฟนก็น่าจะดี ”
“ ที่หนูว่าน่าจะดีนั้นหมายความว่ายังไง ”
“ ก็ถ้าแต่งงานกันเขาก็จะทำให้ครอบครัว....มีความสุข มีเงิน...อะไรอย่างนั้นแหละค่า ”
“ หนูเอาความคิดนี้มาจากไหน ว่าเขาจะทำให้ครอบครัวมีความสุข มีเงิน ”
“ ก็หนุ่ยเขาเป็นคนขยันเขาก็จะทำนั่นทำนี่ ทำงานหาเงิน ”
“ หนูเคยเห็นคนแบบนั้นมาก่อนหรือ ”
“ ก็คนที่เขารวยๆ เขาก็ทำอย่างนั้นไม่ใช่หรือค๊ะ อย่าง....พ่อหนูก็เหมือนกัน เขาก็ขยันทำงานแล้วแม่หนูก็สบาย ”
“ สรุปตรงนี้ก่อน ที่หนูชอบหนุ่ยเพราะหนูเห็นความขยันในตัวเขา แล้วหนูก็เห็นต่อไปถึงความมีเงินทองที่เพียงพอและความสบายที่จะได้รับ อย่างที่หนูเห็นจากหลายๆ ครอบครัวและก็จากพ่อกับแม่ใช่ไหม ”
“ อย่างนั้นมั้งค๊ะ”
“ หนูชอบเขาเพราะคุณสมบัติบางอย่างในตัวเขามันเหมือนกับใครบางคนที่หนูยึดเป็นแม่แบบอย่างเช่นพ่อของหนูหรือผู้ชายหลายๆคนที่หนูเคยเห็นมา นั่นก็คือหนูจินตนาการว่าเขาคงจะเป็นเหมือนกับแม่แบบที่หนูมีอยู่ในใจใช่ไหม มันเป็นความชอบที่เกิดขึ้นมาจากความเหมือน...
....แล้วถ้าอีกสามวันต่อมาหนูเห็นเขานั่งหลับในห้องเรียนหรือรู้มาว่าเขาแอบหลับในที่ทำงานหนูจะยังชอบเขาไหม ” ดาไม่ตอบว่าอย่างไร
“...หนูอาจจะคิดในใจว่าเขาคงเหนื่อยเพราะเขาทั้งเรียนทั้งทำงานไปด้วย หนูหาเหตุผลให้เขาเพื่อที่จะเข้าใจเขา ให้อภัย เขาและชอบเขาต่อไปใช่ไหม...
...พออีกวันหนึ่งหนูไปเรียนแล้วหนูก็ไม่เห็นหนุ่ยคนที่หนูชอบ หนูก็คิดอยู่ในใจว่า อีตาคนนี้หายไปไหนนะ ทำไมไม่มาเรียน หนูเริ่มคิดถึง เขาใช่ไหม...
...เอ! เขาไม่สบายหรือเปล่า เขาประสบอุบัติเหตุหรือเปล่า เขาทำงานมากไม่ได้พักผ่อนแล้วก็เหนื่อยเลยมาเรียนไม่ได้หรือเปล่า หนูเริ่มเป็นห่วง เขาแล้วใช่ไหม...
...วันนั้นที่หนูไม่เห็นเขามาเรียน หนูต้องนั่งเรียนคนเดียว ไม่มีหนุ่ยอยู่ใกล้ๆ ไม่มีหนุ่ยอยู่ในสายตา ไม่มีหนุ่ยเดินไปกินข้าวด้วย ไม่มีหนุ่ยเดินไปเรียนด้วย หนูรู้สึกว่ามันขาดอะไรไปสักอย่าง หนูรู้สึกว่าหนูเริ่มผูกพัน กับเขาแล้วใช่ไหม...
...วันต่อมาเขากลับมาเรียน พอหนูเห็นเขาหนูก็ดีใจใช่ไหม เพียงแค่ได้เห็นก็ทำให้หนูเป็นสุขใจ ได้ใช่ไหม...
...หนูเข้าไปคุยกับเขาเหมือนเคย ฟังเขาเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรจะเล่าอะไรให้หนูฟัง หนูรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องสนุก หนูชอบพูดคุยกับเขา สนใจใคร่รู้ ในสิ่งที่เขาพูดสิ่งที่เขาประสบมาใช่ไหม...
...พอเลิกเรียนหนูก็ไม่อยากกลับบ้านหนูอยากจะอยู่กับเขานานๆ ไม่อยากจาก เขาไปไหนใช่ไหม...
...พออยู่ที่บ้านหนูก็รอเวลาว่าเมื่อไหร่จะได้ไปมหาวิทยาลัยซะที แล้วเมื่อถึงเวลาหนูก็กระวีกระวาดตื่นเต้น ที่จะได้มาเห็นหน้าเขาอีกใช่ไหม...
...พอมาถึงมหาวิทยาลัยหนูเห็นหนุ่ยนั่งคุยกับนิสิตสาวคนอื่นหนูเกิดอาการเลือดขึ้นหน้าว่า แม่คนนี้มาคุยกับหนุ่ยของฉันทำไม จะมาแย่งฉันเหรอ หนูรู้สึกว่าหนูเป็นเจ้าของหนุ่ยและหนุ่ยก็เป็นของหนูและหนูก็หวง เขาใช่ไหม...
...พอหนูเข้าไปนั่งใก้ลๆ หนุ่ยทักหนูแต่หนูก็ไม่พูดไม่จาอะไร ทำหน้าเฉยเมย ไม่มองหน้าใคร แต่หูก็ได้ยินเขาพูดกันหัวเราะกันคิกคักจนในที่สุดหูของหนูก็ไม่ได้ยินอะไรเลย นอกจากสิ่งที่มันดังอยู่ในใจมันบอกอะไรหนูก็ไม่รู้มันเยอะแยะไปหมด จับต้นชนปลายไม่ถูกแล้วหนูก็มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่หนูอยู่กับเขาหลังจากที่หนูกระชากแขนเขาออกมาจากวงสนทนานั้นที่เป็นเช่นนั้นเพราะหนูหึง เขาใช่ไหม..
...เวลาที่อาจารย์เรียกเข้าพบ หรือเวลาที่ต้องไปสอบหรือเวลาที่กลับบ้านมืดๆ หนูก็ไม่กลัวเพราะหนูมีหนุ่ยไปเป็นเพื่อนและหนูก็รู้สึกอุ่นใจ ใช่ไหม...
...หนูไปไหนต่อไหนกับเขาได้สองต่อสองโดยที่หนูไม่กลัวอะไรเพราะหนูไว้วางใจ เขาใช่ไหม...
...หนูซื้อน้ำซื้ออาหารมานั่งกินที่โต๊ะ พอเพื่อนมาตักของหนูกินบางทีหนูก็แทบจะไม่อยากกินมันอีกต่อไปใช่ไหม แต่ถ้าเป็นหนุ่ยหนูรู้สึกเต็มใจและอยากให้เขากินร่วมจานกับหนูเพราะหนูไม่รังเกียจ เขาใช่ไหม...
...หนูหมายตาว่ากระเป๋าถือใบนั้นยี่ห้อนั้นหนูอยากได้อุตส่าห์เก็บเงินมาตั้งนานพอได้เงินครบหนูกำลังจะไปซื้อแต่หนุ่ยมีเงินไม่พอจ่ายค่าเทอมหนูก็เอาเงินก้อนนั้นมาให้หนุ่ยยืมลงทะเบียนเรียนโดยที่หนูไม่ซื้อกระเป๋าก็ได้เพราะหนูพร้อมที่จะเสียสละ เพื่อเขาใช่ไหม...
...พอหนุ่ยหาเงินมาได้ครบจะเอาเงินมาคืนให้หนู แต่หนูก็ไม่รับคืนเพราะหนูมีความสุข แล้วกับการเสียสละนั้นใช่ไหม...
...หนุ่ยมาบอกหนูด้วยความดีใจว่าหัวหน้ารับเขาเข้าทำงานเป็นพนักงานประจำหนูก็ดีใจกับเขาด้วยเพราะหนูยินดี ที่เห็นเขาได้ดีใช่ไหม...
...หนุ่ยรักแม่เขามาก แม่เขาป่วยเขาส่งเงินไปให้แม่รักษาตัวจนหมด และพอดีใกล้สิ้นเดือนหนูก็มีเงินเหลือไม่มาก หนูเลยซื้อข้าวมาจานเดียวแล้วแบ่งกันกินกับเขาคนละครึ่งอิ่มบ้างไม่อิ่มบ้างก็ไม่เป็นไรเพราะหนูยินดีที่จะร่วมทุกข์ กับเขาใช่ไหม...
...อยู่ที่มหาวิทยาลัยหากมีใครมาพูดไม่ดีเกี่ยวกับหนุ่ย นินทาหนุ่ยในทางเสียๆหายๆ พอหนูได้ยินเข้าหนูก็ไม่พอใจและไปต่อว่าคนๆนั้นหรือไม่ก็แก้ตัวให้เขาเพราะหนูพร้อมที่จะปกป้อง เขาใช่ไหม...
...หนูคบหากันกับหนุ่ยตั้งแต่เรียนปีหนึ่งจนเรียนจบ ใช้ชีวิตอยู่อย่างที่ว่ามานี้ พอมีคนมาถามหนูว่าหนูรักหนุ่ยไหมหนูจะตอบว่ายังไง ”
“ ...ก็...ตอบว่ารักค๊ะ”
“ แล้วที่เราพูดมาทั้งหมดนี้ลุงพูดคำว่ารักรึยัง ”
“ เปล่าครับ ”
“ นี่แหละที่ลุงบอกว่าถามง่ายแต่ตอบยาก คำถามสั้นๆแต่ใหญ่นะ แล้วทีนี้ที่เขาบอกว่า รักแรกพบ นะมันมีไหม ”
“ มันน่าจะเป็นความชอบมากกว่า แต่เขาก็นิยมพูดกันนะค๊ะ”
“ ใครพูด เขานะใคร ”
“ ก็พวกหนุ่มสาวหรือไม่ก็พวกคนที่เขารักกัน ”
“ แล้วพวกเขารู้แล้วหรือว่าความรักมันเป็นยังไง เขาถึงได้พูดกันว่ามันเป็นรักแรกพบนะ ”
ไม่มีคำตอบจากทั้งหนุ่ยและดาแต่ทั้งสองก็มีสีหน้าครุ่นคิด
“ หนูก็คิดเอาเองก็แล้วกัน แล้วก็ดูซิว่ามันเชื่อได้ไหมที่หากมีใครสักคนมาบอกหนูว่า เขารักหนูตั้งแต่แรกพบ”
“ บ้ามั้งคะ”
“ใครบ้าหรือ”
“ ก็ไอ้พวกที่พูดกันอย่างนั้นนะซิคะ”
“ ฮ้า..ฮ้า..ฮ้า..” ปรีชาหัวเราะชอบใจอย่างผู้ใหญ่ใจดี
“ แล้วทีนี้เราพอจะสรุปกันได้หรือยังว่าความรักคืออะไร ให้คำจำกัดความมันได้ไหม ”
“ แหม..หนูไม่รู้จะสรุปมันว่ายังไงเลยคะ ไอ้ความรักเนี่ย ”
“ มันเป็นอะไรที่มีองค์ประกอบเยอะแยะมากเลยครับ ผมว่าจะให้คำจำกัดความมันสั้นๆ เห็นจะไม่ได้ ”
“ เอ้า! แล้วทีนี้เรามาดูกันว่าผู้สันทัดกรณีทั้งหลายเขาว่ายังไงกันบ้าง”
ปรีชาลุกขึ้นเดินไปหยิบรีโมดคอนโทรลกับคอมพิวเตอร์ขนาดพกพาในลิ้นชักโต๊ะหลังเคาน์เตอร์แล้วกลับมานั่งที่เดิม
“ อะไรค๊ะคุณลุง” ดาถามด้วยความสงสัย
“ ป๊อกเก็ต พีซี เราจะมาดูกันว่ามีใครพูดถึงเรื่องความรักไว้ในอินเทอร์เน็ทว่าอย่างไรกันบ้าง ”
ปรีชาตอบดาแล้วกดรีโมดคอนโทรลให้จอผ้าผืนใหญ่เลื่อนลงมาด้านบนเวทีที่มีเครื่องดนตรีตั้งอยู่ พร้อมกับเปิดเครื่องฉายภาพแบบแอลซีดีโดยรีโมดตัวเดียวกันนั้น แล้วเขาก็หยิบคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กขึ้นมาเปิดเชื่อมต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ทเพื่อค้นหาข้อมูลผ่านโปรแกรมกูเกิล โดยพิมพ์คำว่า “ ความรัก ” เข้าไป
ทันทีที่กดแป้นเอ็นเทอร์ก็ปรากฏรายชื่อเว็บไซด์ต่างๆมากมาย ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับความรักฉายอยู่บนจอภาพขนาดใหญ่บนเวที แล้วทั้งสามคนก็ช่วยกันเลือกเว็บไซด์เหล่านั้นขึ้นมาเปิดอ่านข้อมูลที่มีคนแสดงความคิดเห็นทั้งที่เป็นบทความยาวสองสามหน้ากระดาษบ้าง ที่แสดงความคิดเห็นสั้นๆ บ้าง มีทั้งบทร้อยแก้วร้อยกรอง หลากหลายความคิดเห็นหลากแง่หลายมุม อ่านแล้วเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง จนในที่สุดดาก็บอกกับทุกคนว่า
“ พอเถอะค๊ะ ดาว่ายิ่งอ่านก็ยิ่งงง เดี๋ยวจะเลอะเทอะกันไปใหญ่ สงสัยว่าคนส่วนใหญ่ที่แสดงความคิดเห็นลงมาในเว็บไซด์เหล่านี้น่าจะเป็นคนหนุ่มสาวนะค๊ะ ”
“ แต่ก็ไม่แน่นะดา อาจจะมีผู้ใหญ่ด้วยก็ได้ดูบางสำนวนที่เลือกใช้คำได้สละสลวยหรืออย่างบางบทความที่ยาวขนาดสามหน้ากระดาษหนุ่ยว่าน่าจะเป็นผู้ใหญ่มากกว่า ”
“ ใช่ ในอินเทอร์เน็ทมันมีความเป็นไปได้หมดแหละทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ผู้หญิงผู้ชาย รู้บ้างไม่รู้บ้าง จำเขามาบ้าง คิดเองบ้าง บางคนก็เอาประสบการณ์ของตนมาเล่าให้คนอื่นฟังบ้าง สารพัดรูปแบบบรรดามี แต่มันก็หลากหลายดีมันทำให้เราได้รู้อะไรที่กว้างขึ้นแม้ว่าจะไม่ลึกมากนักก็ตาม แต่บางอย่างก็พอเอามาเป็นข้อมูลในการอ้างอิงได้บ้าง”
“ แต่หนูว่าส่วนใหญ่มันจะหน่อมแน้มไปหน่อย ”
“ มันเป็นยังไงที่ว่าหน่อมแน้ม ”
“ ก็ไม่ค่อยประสีประสานะซิค๊ะ”
ปรีชาไม่ตอบว่ากระไรได้แต่หัวเราะหึๆ
“ คุณลุงครับแล้วความรักนี่มันเหมือนกันหมดไหมครับ ”
“ ถ้าพูดถึงอาการของความรักนี้ ส่วนใหญ่มันก็เหมือนๆ กันจะแตกต่างก็อยู่ที่ว่าใครจะแสดงอาการใดออกมากน้อยเพียงใดเท่านั้นเอง นี่พูดถึงอาการนะแต่ถ้าจะถามถึงที่มาของความรักนั้นมันก็ต่างกันอยู่บ้าง บางคนรักที่ความเหมือนอย่างเช่นหนูดารักคุณที่คุณมีคุณสมบัติบางอย่างเหมือนพ่อของเธอ บางคนรักที่ความต่างอย่างเช่นบางคนมีแม่เป็นแม่บ้านไม่ได้ทำงาน การศึกษาก็น้อยมักจะถูกพ่อข่มเหงรังแกอยู่ตลอดเวลาเขาก็อาจจะหาคนรักที่มีคุณสมบัติแตกต่างไปจากแม่ของเขาเช่นชอบผู้หญิงเก่ง มีการศึกษาพอสมควรหรือสูงไปเลยไม่จำเป็นต้องมีความเป็นแม่บ้านก็ได้อย่างนี้เป็นต้น บางคนอาจจะชอบผู้ชายที่มีคุณสมบัติเด่นคือไม่กินเหล้าไม่สูบบุหรี่เพราะรู้สึกรังเกียจที่พ่อของตนกินเหล้าสูบบุหรี่เหม็นคละคลุ้งแถมเวลาเมายังอาละวาดตบตีลูกเมียก่อนนอนทุกวัน บางคนก็ชอบผู้หญิงหรือผู้ชายที่มีอายุมากกว่าตัวมากๆไม่ใช่สองสามปีนะ สองสามปีนี้ยังถือว่าเป็นเรื่องปกติ ที่ว่ามากๆ ก็คือห่างกันเป็นสิบปี พูดง่ายๆคือชอบคนแก่ก็มี ”
“ มันเป็นยังไงครับลุง ทำไมบางคนถึงได้ชอบคนแก่ ”
“ ตามทฤษฏีนะเขาบอกว่าคนเหล่านี้ยังติดอยู่ในพัฒนาการขั้นหนึ่งที่ ซิกมันด์ ฟรอยด์ เรียกว่าติดปมออดิปุส ยังไม่หลุดออกมาก้าวข้ามยังไม่พ้นพัฒนาการทางจิตด้านนี้จึงเกิดการหยุดชะงักอยู่แค่ตรงนั้น”
“ แล้วมันเป็นยังไงครับปมออดิปุสที่ว่านี้ครับ ”
“ การจะเข้าใจเรื่องนี้ เราต้องไปเชิญปรมาจารย์ซิกมันด์ ฟรอยด์ มาบรรยายให้ฟังซะแล้วมั้ง รู้จักกันไหม ซิกมันด์ ฟรอยด์ ”
“ เคยได้ยินครับ นักจิตวิทยาทางด้านจิตวิเคราะห์ ผมเคยเรียนวิชาจิตวิทยาอยู่เทอมหนึ่งครับ แต่ก็ลืมไปหมดแล้ว คุณลุงเล่าให้ฟังใหม่ก็ดีครับ ”
“ โอ...แก้วลุงนี่มันใสดีนะ” ปรีชาเปรยเรื่องแก้วของเขาขึ้นมาพอเห็นว่าไม่มีเดอลองกองเหลืออยู่ในแก้ว หนุ่ยยังเฉยอยู่ด้วยไม่เข้าใจในความหมายของปรีชา ดาจึงหันไปกระซิบหนุ่ยให้รินไวน์ให้ปรีชา หนุ่ยจึงเข้าใจและหยิบไวน์ที่เหลือก้นขวดมารินใส่แก้วให้ปรีชา
“ หนู... ” ปรีชามองหน้าดา “ ยังมีเหลืออีกไม่ใช่เหรอ ฟรอยด์ท่านชอบดื่มไวน์กับสูบซิการ์ ปรีชาชอบดื่มไวน์กับสูบไปน์” ดาเข้าใจในความหมายที่ปรีชาพูดจึงลุกขึ้นไปหยิบไวน์ในตู้เย็นด้วยอาการเดินเซนิดๆ
“ ไหวไหมจ๊ะดา ให้หนุ่ยไปเอาไหม ”
ดาไม่ตอบแต่ก็พยายามเดินให้ตรงทางที่สุดแล้วกลับมาพร้อมกับเดอ ลองกองขวดใหม่ หนุ่ยรวบรวมจานบนโต๊ะเข้าไปเก็บไว้ในห้องครัว
“ ขวดสุดท้ายแล้วใช่ไหมหนู ” ปรีชาถามดา
“ ยังค๊ะ เหลืออีกขวดหนึ่งค๊ะ”
“ พรุ่งนี้ต้องไปเยี่ยมสหายกิตติซะแล้ว ”
“ ใครค๊ะ คุณลุง”
“ สหายเก่า ผู้กองกิตติ คนนี้แหละที่ทำให้ผมมาอยู่ที่นี่ได้ ผู้กองดูแลเรื่องกองทุนหมู่บ้านและสหกรณ์ของที่นี่ ถ้าว่างจะไปด้วยกันก็ได้ผมจะแนะนำให้รู้จัก พ่อพระของหมู่บ้าน”
“ ค๊ะ แล้วคุณลุงจะไปกี่โมงค๊ะ”
“ เดี๋ยวไว้ดูกันอีกทีก็แล้วกัน อาจจะเที่ยงๆ หรือไม่ก็บ่ายๆ ก็ได้ พักผ่อนกันให้เต็มที่เถอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน ”
“ หนุ่ยพรุ่งนี้เราเข้าไปเที่ยวในหมู่บ้านกันไหมค๊ะ ” ดาขอความเห็นเมื่อหนุ่ยกลับมาถึงโต๊ะ
“ ดีจ๊ะ เราจะได้เข้าไปดูความเป็นอยู่ของคนที่นี่ ”
“ คุณลุงจะพาเราไป”
“ ขอบคุณครับ” หนุ่ยหันมาบอกขอบคุณปรีชา
“ เมื่อกี้เราพูดถึงตรงไหนกันแล้ว ” ปรีชาถามย้ำความจำ
“ รักคนแก่ ออดิปุสและก็ฟรอยด์ครับ ”
“เอาเรื่องรักคนแก่ ให้จบก่อน คนพวกนี้ส่วนใหญ่ก็ยังติดอยู่ในปมออดิปุสหรือปมอีเล็คตรา อยู่ นั่นก็คือผู้ชายรักแม่ ผู้หญิงรักพ่อแต่ความรักนี้แยกแยะไม่ออกเลยเกิดขบวนการอย่างหนึ่งที่เรียกว่าโปรเจ็คชั่น คือคิดว่าคนแก่นั้นจะมีคุณสมบัติเหมือนกับพ่อหรือแม่ที่ให้ความรักความอบอุ่นแก่ตนได้ ในเมื่อไม่ได้พ่อแม่จริงก็หาตัวแทนของพ่อหรือแม่มาครอบครอง นั่นก็คือหาคนรักที่แก่กว่าตัวเองมากๆ การหาตัวแทนมาชดเชยนี้เรียกทางจิตวิทยาว่าซับลิเมชั่น เรื่องพวกนี้มันไกลไปเอาไว้พูดกันทีหลัง
ทีนี้มาดูเรื่องความรักระหว่างบุคคลที่มันสร้างปัญหาให้กับหลายๆคนมาแล้ว บางคู่ถึงกับต้องเลิกร้างกันไปเพราะความไม่เข้าใจในเรื่องนี้”
“ยังไงหรือครับคุณลุง”
“เคยได้ยินไหมที่ว่า “ ให้เธอเลือกเอาระหว่างฉันกับแม่เธอว่าเธอจะเลือกใคร” หรือไม่บางทีก็ “ ก็ให้เลือกเอาระหว่างฉันกับลูกว่าเธอจะเลือกใคร” หรือไม่ก็ “ ถ้าเธอรักพี่น้องเธอมากก็ไปอยู่กับพวกเขาซะ ” หรือ “ นี่ฉันแต่งงานกับเธอนะไม่ได้แต่งงานกับครอบครัวของเธอ ” อะไรทำนองนี้”
“ก็เคยครับ บางที...” หนุ่ยหยุดพูดไว้เพียงเท่านี้แล้วหันไปมองหน้าดาที่นั่งอยู่ข้างๆ เหมือนกับกำลังชั่งใจว่าจะพูดต่อไปดีหรือไม่ หรืออาจจะกำลังถามเธอด้วยสายตาว่าให้ฉันพูดได้ไหมแต่กลับเป็นดาเสียอีกที่ชิงพูดต่อ
“ บางทีหนูก็เคยถามเขาแบบนี้เหมือนกัน มีอยู่ช่วงหนึ่งที่หนุ่ยเขาติดเพื่อนมากเดี๋ยวก็เพื่อนคนนั้นเดี๋ยวก็เพื่อนคนนี้ ขนาดว่านัดกินข้าวกับหนูๆ ไปรออยู่ที่ร้านอาหารเขากลับโทรศัพท์มาบอกหนูว่ายังอยู่กับเพื่อนอยู่ยังไม่เสร็จธุระ คุณลุงคิดดูซิว่าจะไม่ให้หนูน้อยใจได้ยังไง จนหนูคิดว่าเขาเห็นเพื่อนสำคัญกว่าหนู เราเกือบเลิกกัน ช่วงนั้นหนูรู้สึกแย่มาก หนูรู้สึกว่าหนูไม่มีคุณค่าพอสำหรับเขา นี่ถ้าเขายังเป็นแบบเดิมหนูคงทนไม่ได้”
พอพูดจบเธอก็หันมามองหน้าหนุ่ยราวกับจะขอคำยืนยันว่า “ที่ฉันพูดนี้ถูกใช่ไหม” หนุ่ยไม่ตอบว่าอะไร ได้แต่ยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มแล้วนิ่งเงียบ ดูเหมือนปรีชาจะรู้ทัน
“ เอาหละ..เกี่ยวกับเรื่องนี้เราต้องยอมรับ..อ่า....เราต้องมองอย่างใจเป็นกลางกันก่อนว่าต่างคนต่างมีเหตุผลของตนในใจ ผมไม่ได้หมายถึงเฉพาะในกรณีของคุณทั้งสอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของใครหรือระหว่างใครก็ตาม ทุกคนย่อมมีเหตุผลให้กับสิ่งที่ตนกระทำลงไปเสมอ อย่างเช่นดา..หนูอาจจะมีเหตุผลว่า วันนี้อยากจะกินข้าวเย็นกับหนุ่ย อยากจะอยู่กันสองต่อสองเพื่อ...เพื่ออะไรหละ..เพื่อที่จะทำให้หนุ่ยเห็นว่าหนูรักเขา หนูอยากให้เขามีความสุขกับการได้กินอาหารดีๆ ในร้านหรูๆกับคนรัก...หนูอยากให้เขาเห็นว่าหนูให้เวลากับเขาทั้งๆ ที่หนูจะกลับไปกินข้าวที่บ้านก็ได้กินกับพ่อกับแม่ที่บ้านเงินก็ไม่ต้องเสีย และหนูก็นัดกับเขาล่วงหน้าไว้แล้วหรืออาจจะอะไรก็แล้วแต่..นี่ผมไม่รู้ แต่ที่แน่ๆคือคุณมีความปรารถนาดีต่อเขาใช่ไหม?...”
“คะ..แล้วหนูก็ไม่มีใครไงคะคุณลุง ทุกวันนี้หนูก็มีแต่เขาคนเดียว....”
ดาหยุดพูดเว้นจังหวะให้ตัวเอง ราวกับกำลังรวบรวมพลังทั้งหมดไปใช้ในการสะกดกลั้นอารมณ์และความรู้สึก ที่กำลังจะพลุ่งขึ้นมา เธอนิ่งและกลืนสิ่งที่ขึนมาจุกอยู่ในลำคอลงไปสองสามครั้งติดๆ กัน แล้วเธอก็หันไปมองหน้าหนุ่ย...เอื้อมมือข้ามโต๊ะไปจับมือหนุ่ยไว้แน่น สายตายังคงนิ่งอยู่ที่หนุ่ย...
ปรีชาก็ยังคงนั่งนิ่งฟังและสังเกตุสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่เงียบๆ ไม่แม้แต่จะยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มหรือหยิบไปน์ขึ้นมาสูบ “อือ..เดอลองกอง ออกฤทธิ์แล้ว” เขาคิดในใจ
หนุ่ยเขย่งตัวขึ้นเล็กน้อยแล้วขยับเก้าอี้ของเขาเข้าไปชิดคู่กับเก้าอี้ของดาที่อยู่ด้านถัดไปของโต๊ะ เขาเปลี่ยนมือที่จับกับดาแล้วโน้มตัวเข้าไปใช้แขนโอบไหล่ของเธอเข้ามาให้ใบหน้าของเธอซบที่ไหล่เขา... มือที่ลูบศรีษะของเธอเบาๆนั้นคงกำลังบอกอะไรเธอสักอย่าง มันจึงทำให้เธอปล่อยเสียงกระซิกๆออกมา
น้ำตาลูกผู้หญิงที่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกและความปรารถนามากมายที่ยากนักที่ผู้ชายจะเข้าใจ ตอนนี้มันไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของเธอ หัวใจที่ว้าเหว่และโหยหาดวงนั้นยังคงบีบให้มันใหลออกมาเป็นทางหยดลงบนอกเสื้อของหนุ่ยก่อนที่มันจะค่อยๆ ซึมเข้าไปในหัวใจของเขา...
คำปลอบประโลม คำขอโทษ ข้ออ้าง ข้อแก้ตัวหรือคำมั่นสัญญาใดๆ ไม่มีใครได้ยินสิ่งที่หนุ่ยบรรจงกระซิบที่ข้างหูของดา แม้แต่ปรีชาที่นั่งอยู่ใกล้ๆก็ไม่อาจได้ยิน ทว่ามันคงมีผลต่อความรู้สึกของเธออยู่ไม่น้อย เธอถอนหายใจออกมายาวๆก่อนที่จะเอื้อมมือทั้งสองไปกอดคอหนุ่ยไว้โดยที่ยังซุกหน้าฝากความรัก ความปรารถนา ความเอื้ออาทร ความหวังหรือความใดๆ ที่เธอมีต่อเขาไว้เป็นคราบบนไหล่ของเขาก่อนที่เธอจะเงยหน้าขึ้นมาสบตา
หนุ่ยมองสบตาเธอด้วยสายตาที่อ่อนโยน สยายผมที่ตกลงมาปิดใบหน้าของเธอกลับไปข้างหลัง ปาดคราบน้ำตาที่หลงอยู่บนขอบตาขอเธอออก ก่อนที่จะบรรจงจูบเธอเบาๆที่หน้าผากโดยปราศจากคำพูดใดๆ แต่ดูเหมือนว่าดาจะรับรู้ว่าสิ่งที่เขาทำกับเธอในขณะนี้มันออกมาจากหัวใจของเขาจริงๆ
“ดารักหนุ่ยนะ ดามีแต่หนุ่ยคนเดียวเท่านั้น ที่ดาทำทุกอย่างก็เพื่อหนุ่ย..” เป็นคำพูดที่ออกมาจากปากของเธอก่อนที่เธอจะบรรจงหอมแก้มเขาที่อยู่ในวงแขนของเธอ
“ขอโทษคะคุณลุง หนูดราม่าไปหน่อย แต่...”
“ ไม่มีอะไรที่ต้องขอโทษและไม่มีอะไรที่ต้องแก้ตัว...ไม่ว่าอะไรก็ตามหากมันเป็นความจริงและออกมาจากใจจริงก็ไม่มีคำว่าแต่... สิ่งที่หนูทำนั้นมันถูกต้องแล้วที่หนูระบายความรู้สึกอัดอั้นที่อยู่ภายในออกมาให้คนรักของหนูได้รับรู้และมันก็เป็นภาพที่สวยงาม ผมในฐานะคนกลางที่ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางหรือความเป็นมาของคุณทั้งสองเท่าใดนัก แต่สิ่งที่ผมเห็นและสังเกตุได้จากคุณทั้งสอง ตั้งแต่หัวค่ำมาจนถึงตอนนี้มันก็พอจะบอกอะไรบางอย่างกับผมได้บ้าง...บ้างนะ...ผมใช้คำว่าบ้างซึ่งนั่นก็ไม่ได้หมายถึงทั้งหมด เอาละ..เดี๋ยวจะค่อยๆมาดูกันว่าอะไรเป็นอะไรถ้าผมพูดผิดก็แย้งมาได้เลยเราจะได้อยู่ในประเด็นและคุณทั้งสองก็จะได้ประโยชน์จากมัน...ดีไหม?...”
“คะ”
“เมื่อกี้มีอยู่คำหนึ่งที่คุณพูดกับผมว่า...คุณไม่มีใคร...มันหมายความว่ายังไง”
“คือทุกวันนี้หนูเหมือนอยู่ตัวคนเดียว พอแต่งงานกับหนุ่ยแล้วแม่ก็เอาแต่ทำงานสังคมเดี๋ยวก็ออกไปประชุมที่นั่นที่นี่เวลาหนูไปหาที่บ้านก็ไม่ค่อยเจอหรือบางทีถ้าแม่อยู่บ้านก็จะจัดงานเลี้ยงที่บ้านไม่มีเวลาอยู่คุยกับหนู แล้วคนที่มาก็เป็นพวกที่สมาคมมีแต่คนแก่ๆ มันไม่เหมือนกับเมื่อก่อนนี้ที่แม่จะเป็นเพื่อนหนูอยู่ตลอด ส่วนพ่อ..หนูไม่ค่อยเจอมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ส่วนใหญ่พ่อจะอยู่ต่างจังหวัดอยู่ที่ทำงาน นานๆ จะกลับบ้านทีจนหนูรู้สึกว่าหนูไม่มีพ่อ ทั้งๆ ที่พ่อก็ดูแลพวกเรามาตลอด ทุกคนในบ้าน...หนูหมายถึงหนูกับแม่มีทุกสิ่งทุกอย่าง มีบ้านมีรถมีเงินมีคนใช้ เราไม่เดือดร้อนแต่มันก็เหมือนกับขาดอะไรไปอยู่เสมอ
ก่อนหน้านี้ก็มีแต่หนุ่ยนี่แหละที่คอยดูแลหนูเป็นเพื่อนหนูทำในอะไรต่ออะไร แต่พ่อกับแม่หนูไม่ค่อยชอบหนุ่ยท่านบอกว่าฐานะไม่เหมาะสมกัน ท่านจะไม่ให้เราแต่งงานกันแต่หนูก็ยืนยันว่าเรารักกันและหนุ่ยก็สามารถดูแลหนูได้ จนพ่อกับแม่หนูต้องยอมแต่ก็เกิดปัญหาอีกเพราะหนุ่ยไม่มีเงินทีแรกเราจะไม่จัดงานแต่งงานเราต้องการแค่บอกผู้ใหญ่ให้รับรู้และเลี้ยงพระนิดหน่อย แต่แม่หนูไม่ยอมท่านเลยจัดงานแต่งงานให้ แม่เอาเงินให้หนุ่ยยืมทำเป็นว่าเงินนั้นเป็นสินสอดเพื่อให้คนอื่นเห็นว่าสมฐานะ พอแต่งงานเสร็จแม่ก็เก็บเงินไปส่วนบ้านที่เราอยู่กันนี้หนูหมายถึงหนูกับหนุ่ยเรารวมเงินกันซื้อไว้แล้วก่อนแต่งงาน ทุกวันนี้เราก็ยังต้องช่วยกันผ่อน พ่อให้รถหนูมาคันหนึ่งแต่ก็ให้มาก่อนแต่งงานแล้วเหมือนกัน รถคันนี้เป็นของหนุ่ยเองเขาต้องใช้เวลาไปทำงาน ส่วนหนูตอนนี้ยังไม่ได้ทำงานอะไร กำลังหางานอยู่แต่ก็มีบริษัทรับหนูเข้าทำงานแล้ว กลับไปนี้หนูก็ต้องเริ่มไปทำงาน ตอนนี้เงินหนูก็พอจะมีอยู่บ้างที่เก็บไว้เป็นเงินที่พ่อกับแม่ให้ตอนที่หนูยังเรียนอยู่ พอแต่งงานแล้วพ่อกับแม่บอกว่าต้องหาเงินใช้เองเพราะมีครอบครัวแล้วหมดความรับผิดชอบของพ่อกับแม่แล้ว เท่าที่หนูรู้สึกนะว่าพ่อกับแม่คงไม่พอใจเอามากๆ ที่หนูแต่งงานกับหนุ่ย แล้วคงจะไม่สนใจหนูอีกต่อไป นี่แหละคะที่หนูว่าหนูไม่มีใครนอกจากเขาคนเดียว
แล้วทุกวันนี้เวลาที่เขาออกไปทำงานหนูก็ต้องอยู่ที่บ้านคนเดียวทั้งวัน หนูไม่รู้จะคุยกับใครพอจะออกไปไหนหนูก็ต้องคอยดูว่าเงินที่หนูมีอยู่นั้นมันจะต้องพอใช้ไปจนกว่าหนูจะหางานทำได้ วันไหนถ้าหนุ่ยเขากลับดึกหนูก็ต้องนั่งกินข้าวเย็นคนเดียว ดูทีวีคนเดียว คุณลุงคิดดูซิหนูต้องเข้านอนคนเดียวแล้วหนูก็นอนไม่หลับจนกว่าเขาจะกลับมา บางวันเขาก็ไปงานเลี้ยงกับเพื่อนแล้วเมากลับมาคุยกันก็ไม่รู้เรื่องมันก็เหมือนอยู่คนเดียวอยู่ดีแหละคะ คือหนูไม่ได้ว่าหนุ่ยไม่ดี หนุ่ยดีกับหนูทุกอย่างทำทุกอย่างให้หนู เวลาที่เขาอยู่บ้านหนูแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ที่หนูพูดมาเนี่ยคือหนูอยากได้ครอบครัวหรืออยากมีชีวิตคู่ที่อบอุ่นนะคะ
เมื่อก่อนตอนที่ยังเป็นแฟนกันนั้นกลางวันหนูก็มีเขากลับไปบ้านตอนเย็นหนูก็ยังมีแม่มีคนใช้ในบ้านก็เลยไม่รู้สึกเหงาไม่รู้สึกว้าเหว่อะไรแต่ตอนนี้มันไม่ใช่เพราะเราอยู่กันแค่สองคน แล้วอีกอย่าง..คนข้างบ้านนะพวกนี้เปลี่ยนหน้ากันเรื่อยเมื่อสองสามวันนี้ก็มาใหม่อีกแล้ว เจ้าของบ้านเขาเอาบ้านให้เช่า เดี๋ยวคนนี้เข้าคนนั้นออกแล้วแต่ละคนก็หน้าตาอย่างกับโจร บางทีก็กินเหล้ากันเสียงดัง ทะเลาะกันบ้างมีวันหนึ่งทะเลาะกันกับพวกขับมอเตอร์ไซค์วินหน้าหมู่บ้านถึงกับจะยิงกัน หนูนี้ตัวสั่นรีบปิดบ้านแล้วก็เปิดไฟข้างนอกไว้ทุกดวงเลยเผื่อใครเข้ามาหนูจะได้เห็นมันก่อน แต่ก็โชคดีที่ไม่มีอะไร พอตำรวจมาพวกเขาก็แยกย้ายกันไป
แล้วทุกวันนี้เวลาที่เขาออกไปทำงานหนูก็ต้องอยู่ที่บ้านคนเดียวทั้งวัน หนูไม่รู้จะคุยกับใครพอจะออกไปไหนหนูก็ต้องคอยดูว่าเงินที่หนูมีอยู่นั้นมันจะต้องพอใช้ไปจนกว่าหนูจะหางานทำได้ วันไหนถ้าหนุ่ยเขากลับดึกหนูก็ต้องนั่งกินข้าวเย็นคนเดียว ดูทีวีคนเดียว คุณลุงคิดดูซิหนูต้องเข้านอนคนเดียวแล้วหนูก็นอนไม่หลับจนกว่าเขาจะกลับมา บางวันเขาก็ไปงานเลี้ยงกับเพื่อนแล้วเมากลับมาคุยกันก็ไม่รู้เรื่องมันก็เหมือนอยู่คนเดียวอยู่ดีแหละคะ คือหนูไม่ได้ว่าหนุ่ยไม่ดี หนุ่ยดีกับหนูทุกอย่างทำทุกอย่างให้หนู เวลาที่เขาอยู่บ้านหนูแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ที่หนูพูดมาเนี่ยคือหนูอยากได้ครอบครัวหรืออยากมีชีวิตคู่ที่อบอุ่นนะคะ
เมื่อก่อนตอนที่ยังเป็นแฟนกันนั้นกลางวันหนูก็มีเขากลับไปบ้านตอนเย็นหนูก็ยังมีแม่มีคนใช้ในบ้านก็เลยไม่รู้สึกเหงาไม่รู้สึกว้าเหว่อะไรแต่ตอนนี้มันไม่ใช่เพราะเราอยู่กันแค่สองคน แล้วอีกอย่าง..คนข้างบ้านนะพวกนี้เปลี่ยนหน้ากันเรื่อยเมื่อสองสามวันนี้ก็มาใหม่อีกแล้ว เจ้าของบ้านเขาเอาบ้านให้เช่า เดี๋ยวคนนี้เข้าคนนั้นออกแล้วแต่ละคนก็หน้าตาอย่างกับโจร บางทีก็กินเหล้ากันเสียงดัง ทะเลาะกันบ้างมีวันหนึ่งทะเลาะกันกับพวกขับมอเตอร์ไซค์วินหน้าหมู่บ้านถึงกับจะยิงกัน หนูนี้ตัวสั่นรีบปิดบ้านแล้วก็เปิดไฟข้างนอกไว้ทุกดวงเลยเผื่อใครเข้ามาหนูจะได้เห็นมันก่อน แต่ก็โชคดีที่ไม่มีอะไร พอตำรวจมาพวกเขาก็แยกย้ายกันไป
ทีเรามาที่นี้ได้ก็เพราะตอนนี้เรามีเงินเหลือนิดหน่อยเพราะหนูได้งานทำแล้วและเงินที่คิดว่าจะต้องเก็บไว้ก็ไม่จำเป็นแล้ว เราถึงได้มาเจอคุณลุงไงคะ!...”
ดาจบคำพูดของเธอลงด้วยการขมวดอารมณ์เริงร่าตวัดเสียงในประโยคสุดท้ายซึ่งแตกต่างจากอารมณ์เมื่อครู่ก่อนหน้านี้ ตลอดเวลาที่ดาพูดถึงความรู้สึกที่มีอยู่ในใจของเธอนั้น หนุ่ยก็นั่งนิ่งฟังโดยไม่ได้ปริปากโต้แย้งแต่อย่างใดไม่แม้แต่จะแสดงปฏิกิริยาออกมาให้ดาเห็นว่าเขาไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เธอพูด จะมีก็เพียงแต่การขมวดคิ้วเล็กๆเชิงถามคำถามบางอย่างในใจหรือไม่ก็เคาะนิ้วเข้ากับพนักวางแขนของเก้าอี้เป็นจังหวะๆ เท่านั้น แต่ก็มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เห็นได้ชัดถึงการป้องกันตัวเองกึ่งท้าทายและคาดคั้นก็คือตอนที่ดาพูดถึงความคิดและความรู้สึกของพ่อแม่เธอที่มีต่อเขาและการแต่งงานของทั้งสองคน พอดาพูดถึงเรื่องนี้หนุ่ยจะเอนตัวนั่งพิงหลังเข้ากับพนักพิงอย่างมั่นคง ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมากอดอกแน่น สายตาทั้งสองมองไปที่ดาราวกับจะคาดคั้นว่า “เอาเลยพูดมาให้หมดเลยว่าพ่อกับแม่ของเธอพูดอะไรเกี่ยวกับฉันบ้าง ฉันพร้อมที่จะฟัง” แม้กระนั้นเขาก็ยังนิ่งอย่างได้ใจ ซึ่งปรีชาก็นึกชมเขาในสปีริตนี้
พอดาพูดจบทั้งสองก็หันมามองหน้าปรีชาเป็นเชิงถามว่าปรีชามีความคิดเห็นอย่างไรต่อสิ่งที่ดาพูดและจะอย่างไรต่อไป ซึ่งปรีชาก็รู้ทันในความนี้
“ เอาหละ..ได้การ..เป็นการพูดถึงความรู้สึกและความต้องการของตัวเองที่ชัดเจน ไม่กล่าวหา ไม่โจมตี ไม่ต่อว่า หากแต่เรียกร้อง
โอเค!..”
ดาถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ เฮ้อ!..หนูคิดว่าคุณลุงจะว่าหนูเหมือนเด็กซะอีก ขอหนูดื่มนิดหนึ่งนะคะ”
พูดจบดาก็ยกเดอลองกองที่มีอยู่ค่อนแก้วสาดลงลำคอพรวดเดียวหมดแล้ววางแก้วกึ่งกระแทกลงบนโต๊ะด้วยความโล่งอก .. “ อื้!..”
ปรีชามองหน้าหนุ่ย...หนุ่ยละมือจากแก้วที่ถือคาไว้บนโต๊ะ โดยทีแรกคิดว่าจะดื่มเมื่อเห็นดาขอดื่ม แต่เขาเปลี่ยนใจปล่อยแก้วให้วางอยู่อย่านั้นกลับมาขยับเก้าอี้เป็นเชิงตั้งหลัก แล้วปล่อยตัวพิงหลังเข้ากับพนักเก้าอี้เหมือนเดิม ทอดแขนไปบนพนักเหมือนอยู่ในท่าที่สบายแต่มือทั้งสองข้างจับแน่นอยู่ที่พนักวางแขน บางสิ่งบางอย่างที่คุกรุ่นอยู่ในใจขับให้เขาต้องเขย่งปลายเท้าเขย่าขาขวาขึ้นลง สายตามองต่ำลงไปใต้โต๊ะครุ่นคิดอะไรบางอย่าง จนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจสะกดสิ่งที่คุกรุ่นอยู่ในใจนั้นไว้ด้วยการยกขาข้างขวาที่เขย่าอยู่ให้ขึ้นมาไขว่ห้างไว้บนขาอีกข้างหนึ่งพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่จะค่อยๆ ลำดับมันออกมาเป็นคำพูด
“ หนุ่ยรักดามาก...” คำพูดแรกที่เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงและสายตาที่มั่นคง
“ ในชีวิตหนุ่ยตอนนี้ก็มีดาเพียงคนเดียวเท่านั้น มีดาอยู่ใกล้ๆ มีดาคอยให้กำลังใจซึ่งดาก็ทำมาตลอดตั้งแต่ที่เรารู้จักเป็นแฟนกัน จนทุกวันนี้เราแต่งงานกันดาก็ยังเหมือนเดิมกับหนุ่ย การแต่งงานของเราแม้ว่ามันจะมีอุปสรรค์บ้างซึ่งหนุ่ยก็เคารพในความคิดเห็นและยอมรับในการกระทำของพ่อแม่ดา ที่ท่านว่านั้นก็ถูกแล้วที่ว่าฐานะเราไม่เหมาะสมกัน แต่หนุ่ยคิดว่าท่านเทียบฐานะระหว่างท่านกับพ่อแม่ของหนุ่ยมากกว่า มันก็จริงอยู่ที่ฐานะทางบ้านหนุ่ยไม่ดีพ่อแม่ค้าขายพอได้เงินเลี้ยงตัวแม้แต่จะส่งให้หนุ่ยเรียนก็ต้องกู้ยืมเขามาแล้วไหนจะน้องอีกสองคนที่กำลังเรียนอยู่ เรื่องนี้ดาก็รู้ดีว่ามันเป็นปัญหาสำหรับพวกเรา บางเทอมหนุ่ยก็แทบจะไม่ได้เรียนถ้าไม่ได้ดาช่วย”
หนุ่ยหยุด แล้วหันมาพูดกับปรีชา
“คุณลุงครับผมรู้สึกแปลกใจมากที่คุณลุงเหมือนจะรู้เรื่องของพวกเราตอนที่คุณลุงยกตัวอย่างเรื่องความรัก มันเป็นอะไรที่คล้ายกับชีวิตจริงๆของเราสองคนมากเลยครับ”
“มันไม่มีอะไรมากหรอก ผมก็เพียงแต่ยกตัวอย่างให้ฟัง มันเป็นความบังเอิญมากกว่า ผมไม่ได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับคุณทั้งสองคนมากไปกว่าที่ออกมาจากปากของคุณทั้งสอง วางในเถอะ”
“ แต่มันเหมือนจริงๆ บางทีมันก็ทำให้ผมรู้สึกหวาดๆ เหมือนกัน แต่ก็แว็บเดียวเท่านั้น ส่วนดานะครับ..” หนุ่ยหันมาพูดกับดาต่อ
“ หนุ่ยเชื่อนะว่าดารักหนุ่ย จากการที่ดาทำทุกอย่างเพื่อให้เราได้แต่งงานอยู่ด้วยกัน ซึ่งหนุ่ยก็ไม่ต่างไปจากดาเพราะหนุ่ยก็รักดามากเหมือนกันไม่อย่างนั้นแล้ว...” หนุ่ยทิ้งคำพูดไว้เพียงเท่านั้น
“ เอาหละหนุ่ยเข้าใจว่าอย่างนี้นะ การแต่งงานของเรานะมันก็เท่ากับว่าเราเริ่มต้นนับหนึ่งซึ่งไม่ใช่ศูนย์เหมือนบางคู่ ก็นับว่าเป็นความโชคดีพอสมควร แต่ตอนนี้เรายังพึ่งเริ่มต้นจะให้ทุกอย่างมันสมบูรณ์พร้อมเหมือนที่ผู้ใหญ่ท่านมองไม่ได้ พวกท่านมองในฐานะปัจจุบันในขณะที่พวกท่านประสบความสำเร็จแล้วถ้าเรามองย้อนกลับไปเมื่อยี่สิบปีก่อนพวกท่านก็เริ่มต้นเหมือนกับเรานี่แหละทีนี้ความต่างมันอยู่ที่ว่าใครจะใช้เวลาน้อยกว่ากัน พ่อกับแม่ดาอาจจะใช้เวลาสิบห้าปีก็ประสบความสำเร็จแล้ว พ่อกับแม่หนุ่ยใช้เวลามายี่สิบกว่าปีแล้วก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเลย แล้วสำหรับเราสองคนก็ยังไม่รู้ว่าเราจะต้องใช้เวลานานเท่าใดกว่าที่เราจะประสบความสำเร็จ ถ้าเราใช้เวลาน้อยกว่าพ่อกับแม่ของดาก็แสดงว่าเราสำเร็จยิ่งกว่า ตอนนี้เรามีความรู้ เรามีบ้านอยู่แม้ว่ายังต้องผ่อนซึ่งวันหนึ่งข้างหน้ามันก็เป็นของเราจริงๆ ส่วนจะช้าหรือเร็วนั้นก็ขึ้นอยู่กับเราทั้งสองคนว่าจะหาเงินมาจ่ายมันได้เร็วแค่ไหน ยิ่งเราจ่ายช้าเราก็ต้องเสียดอกเบี้ยมากก็เท่ากับว่าเราซื้อบ้านแพง ถ้าเราจ่ายได้เร็วเราสามารถลดดอกเบี้ยได้ เท่ากับว่าเราซื้อบ้านได้ถูกลง
การที่หนุ่ยต้องคบเพื่อนหรือต้องมีเพื่อนเพิ่มขึ้นนั้นส่วนใหญ่มันก็เป็นเพื่อนในอาชีพที่หนุ่ยต้องการหาช่องทางในการทำงานเพิ่มขึ้น พวกผู้ชายเนี่ยเวลาคุยกันส่วนใหญ่ก็จะกินเหล้ากันไปด้วย มันก็เลยยืดเยื้อเพราะในวงเหล้ามันคุยกันหลายเรื่องบางทีก็เรื่องเก่าสมัยเรียนบ้าง เรื่องบ้าบอคอแตกเรื่องผู้หญิงบ้าง บางทีก็พูดเรื่องส่วนตัวที่แต่ละคนมีไม่ว่าจะเป็นปัญหาครอบครัว ปัญหาเรื่องลูกเรื่องเมีย ปัญหาเรื่องหัวหน้าเรื่องลูกน้อง เรื่องลูกค้าสารพัดที่จะพูดคุยกัน มันจึงจำกัดเวลาไม่ได้ว่าจะจบลงเมื่อใด การพูดคุยกันถ้าจะมุ่งเอาแต่เรื่องงานมันก็ไม่ได้บางทีเขาก็ยังไม่พร้อมที่จะคุยด้วย มันก็มีคนที่ทำแบบนี้ มานั่งกินกับเขาแก้วสองแก้วแล้วรีบคุยเรื่องของตัวเองพอเสร็จได้ผลประโยชน์แล้วก็ไป คนอย่างนี้ส่วนใหญ่ไม่มีใครคบหาเป็นเพื่อนด้วยพวกนี้เขาเรียกว่าคนเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว ไม่จริงใจกับใคร คิดแต่เรื่องผลประโยชน์คิดแต่เรื่องเงิน ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีใครคุยด้วยและไม่สนใจทำธุรกิจด้วยเหมือนกัน การได้กินได้ดื่มด้วยกันก็เท่ากับเป็นการสร้างความสนิทสนมคุ้นเคยกัน พอถึงเวลาพูดเรื่องงานมันก็ง่ายขึ้น งานบางอย่างมันต้องอาศัยความสนิทสนมบางทีมีเงินอย่างเดียวก็ซื้อโอกาสไม่ได้
อย่างหนุ่ยเนี่ยไม่มีทุนในตอนนี้หนุ่ยจึงต้องขายเวลาเพื่อซื้อความสนิทสนมและโอกาส อย่างงานบางงานที่ดาก็เคยเห็นมูลค่างานคนอย่างหนุ่ยไม่สามารถมีเงินสดไปใช้จ่ายกับมันแต่ที่ได้มาก็เพราะความสนิทสนมความเชื่อใจกันพวกเขาเห็นว่าเราจริงใจและเรามุ่งมั่นที่จะทำงานจริงๆ พวกเขาก็เลยให้โอกาส และอีกอย่างหนุ่ยก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องทำอย่างนี้ไปตลอดเพียงแต่ช่วงนี้มันเป็นช่วงเริ่มต้นอีกหน่อยหากอะไรมันเข้าที่เข้าทางดีแล้ว อย่างเช่นพวกที่อยู่ในวงการถ้าเขารู้จักเราดีเขาเห็นผลงานของเรา เขามีผลประโยชน์ร่วม เขาเชื่อใจเราทีนี้จะพูดจะจาอะไรก็ไม่ต้องเสียเวลามากอาจจะแค่ยกโทรศัพท์คุยกันก็ได้นี่คือสิ่งที่หนุ่ยคิดไว้เกี่ยวกับงาน
อย่างหนุ่ยเนี่ยไม่มีทุนในตอนนี้หนุ่ยจึงต้องขายเวลาเพื่อซื้อความสนิทสนมและโอกาส อย่างงานบางงานที่ดาก็เคยเห็นมูลค่างานคนอย่างหนุ่ยไม่สามารถมีเงินสดไปใช้จ่ายกับมันแต่ที่ได้มาก็เพราะความสนิทสนมความเชื่อใจกันพวกเขาเห็นว่าเราจริงใจและเรามุ่งมั่นที่จะทำงานจริงๆ พวกเขาก็เลยให้โอกาส และอีกอย่างหนุ่ยก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องทำอย่างนี้ไปตลอดเพียงแต่ช่วงนี้มันเป็นช่วงเริ่มต้นอีกหน่อยหากอะไรมันเข้าที่เข้าทางดีแล้ว อย่างเช่นพวกที่อยู่ในวงการถ้าเขารู้จักเราดีเขาเห็นผลงานของเรา เขามีผลประโยชน์ร่วม เขาเชื่อใจเราทีนี้จะพูดจะจาอะไรก็ไม่ต้องเสียเวลามากอาจจะแค่ยกโทรศัพท์คุยกันก็ได้นี่คือสิ่งที่หนุ่ยคิดไว้เกี่ยวกับงาน
ส่วนการที่ดาต้องอยู่บ้านคนเดียวในช่วงนี้แล้วมันทำให้ดารู้สึกไม่ดีหนุ่ยก็ขอโทษด้วยนะจ๊ะ....ก็ลืมคิดไปคือลืมคิดว่าดาจะรู้สึกแบบนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าหนุ่ยลืมคิดถึงดา ที่ทำทุกวันนี้ก็เพื่ออนาคตของเราและหนุ่ยก็อยากให้ดามีความเป็นอยู่ที่ดีให้พ่อกับแม่ดาเห็นว่าหนุ่ยดูแลดาได้ แล้วอีกหน่อยดาก็ออกไปทำงาน เนี่ยอย่างกลับไปเนี่ย ทีนี้ก็ไม่ต้องอยู่บ้านคนเดียวแล้ว เวลาไปทำงานก็จะได้เพื่อนใหม่ได้โลกใหม่สังคมใหม่มันอาจจะทำให้ดามีความรู้สึกดีขึ้นและยิ่งถ้าได้ทำผลงานออกมาดาก็จะรู้สึกถึงความมีคุณค่าในตัวมากขึ้น ไม่แน่นะดาอาจจะก้าวหน้าเร็วกว่าหนุ่ยก็ได้ใช่ไหมคนเก่ง...”
หนุ่ยหยุดพูดนิดหนึ่งเพื่อให้ดาได้คิดตาม
“ ไอ้เรื่องข้างบ้านนะมันก็มีปัญหาอยู่บ้างตรงที่มันเป็นบ้านเช่า เราจะไปว่าเจ้าของบ้านเขาก็ไม่ได้เขาก็คงมีความจำเป็นไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เอาบ้านให้คนเช่า บางทีลิงยืนถือเงินรออยู่หน้าบ้านเขาก็ต้องให้มันเช่าเพราะเขาต้องการเงินเขาไม่สนใจหรอกว่ามันจะเป็นลิงหรือเป็นคนขอให้มีเงินก็แล้วกัน ทีนี้มันก็ขึ้นอยู่กับเรา เดี๋ยวหนุ่ยจะลองคุยกับเจ้าของบ้านเขาดูให้เขาช่วยคัดคนเช่าหน่อยหรือไม่ก็บางทีเราอาจ จะต้องช่วยหาคนเช่าให้เขา เรื่องนี้เดี๋ยวหนุ่ยจะลองดูว่าพวกเพื่อนๆคนไหนที่เขามีลูกน้องดีๆ ที่หาบ้านเช่าอาจจะให้เขามาเช่าอยู่ตรงนี้ก็ได้ ส่วนบ้านอื่นที่อยู่ข้างๆ เราเขาก็ดีไม่ใช่เหรอเราก็รู้จักเขาเคยคุยกับเขาบ้างแล้วนี่ เอาอย่างนี้เดี๋ยวขากลับเราหาซื้ออะไรไปฝากเขาจะได้มีความสนินสนมกันมากขึ้นนะ ผูกมิตรไว้ก่อนทั้งสามสี่บ้านแหละ ไอ้บ้านเช่านั้นด้วยดีไหมจ๊ะ..” หนุ่ยหยุดพูดและมองนิ่งที่ดา รอคำตอบ
“ จ้า...ก็แล้วแต่หนุ่ยก็แล้วกันหนุ่ยเป็นผู้ชายน่าจะคุยได้ดีกว่าดา”
“ เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับผู้ชายหรือผู้หญิงหรอก เดี๋ยวเราก็ไปคุยกับพวกเขาด้วยกันพวกเขาก็จะได้รู้จักดาด้วย เวลาที่หนุ่ยไม่อยู่เขารู้ว่าดาเป็นเมียหนุ่ยการจะทำอะไรความเกรงใจมันก็มีอยู่หรือการจะหยิบยื่นความช่วยเหลือมันก็สนิทใจขึ้นนะ...”
“ค๊ะ..คุณสามี”
หนุ่ยหันมามองหน้าปรีชาเป็นเชิงบอกให้รู้ว่าเขาหมดคำพูดแล้ว
ปรีชาปรบมือเบาๆ..ช้าๆ..สองสามครั้ง ก่อนที่จะยกเดอลองกองขึ้นมาดื่ม
“ โอ เค! แฮ็ปปี้เอ็นดิ้งไหมหนูดา...”
“คะ”
“หนุ่ยหละ”
“ครับ”
“มันแฮ็ปปี้เอ็นดิ้งลงเพราะอะไร ”
ปรีชาถามต่อเพื่อให้เกิดกระบวนการคิดขึ้นในใจของทั้งสองคน
“ เราไม่ได้คุยกันมาก่อนเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้คะ”
“ แน่นอน...ไม่ได้คุยกัน...เป็นความบกพร่องด้านการสื่อสาร ก่อนหน้านี้ต่างคนต่างคิดไงว่าเธอน่าจะรู้ เขาน่าจะรู้ ต่างคนต่างคิดแก้ปัญหาของตัวเอง ไม่ได้ช่วยกันคิดแก้ปัญหาของเรา ความเป็นเรา มันยังไม่ชัดเจน ตราบใดที่ยังมีเธอกับฉันอยู่ในบ้านคำว่าครอบครัวของเราก็ยังไม่เกิด เผลอๆ มันก็จะกลายเป็นเพียงที่ซุกหัวนอนหรือเป็นโรงแรมม่านรูดไป ส่วนที่เรียกว่าบ้านจริงๆ มันก็ยังอยู่ที่บ้านพ่อบ้านแม่อยู่ดี ไม่มีบ้านเรา อีกหน่อยเวลามีลูกมันก็จะกลายเป็นลูกเธอลูกฉัน ลูกของเรานั้นไม่มี เพราะฉะนั้นเนี่ย ผัวเมียกันหนุนหมอนใบเดียวกันมันก็ต้องคิดอะไรร่วมกัน พูดเหมือนกัน ทำด้วยกัน เมื่อมีครอบครัวเป็นของตัวเองแล้วก็ต้องช่วยกันสร้างครอบครัว มีอะไรก็คุยกันสองคน ไม่ใช่ว่าเอะอะอะไรก็วิ่งโร่ไปหาพ่อหาแม่ อย่างนี้มันไม่ถูก พ่อแม่นั้นเป็นธรรมดาย่อมเข้าข้างลูกอยู่ดีแล้วยิ่งฟังความข้างเดียวด้วยละก้อ ลูกเขยกับลูกสะไภ้เลวหมด “มันทำกับลูกฉันแบบนี้ได้ยังไง” สุดท้ายก็ยุให้ลูกเลิกกัน เพราะรักลูกไม่ถูกทาง ฟังความข้างเดียวเลยคิดว่า ลูกฉันถูก ลูกฉันดี ลูกเขยไม่ดีลูกสะไภ้ไม่ดี แล้วอย่างนี้มันจะอยู่ด้วยกันได้ยังไง พังหมดสถาบันครอบครัวแล้วลูกก็กลายเป็นหม้าย หลานก็กลายเป็นเด็กกำพร้าทั้งๆ ที่พ่อแม่ยังไม่ตาย ลูกไปโรงเรียนก็มีปัญหาอีกเวลาวันพ่อวันแม่ ครูให้ไปกราบพ่อกราบแม่ก็ไม่มีเหมือนเขา มีแต่ปู่ย่าตายายมันไม่เหมือนมีพ่อมีแม่ เด็กเกิดออกมามันไม่ได้ร้องหาปู่หาย่า มันร้องหาแม่หาพ่อ แต่บางทีปู่ย่าตายายนั่นแหละตัวดี อยากเลี้ยงหลานแก้เหงาเลยฉวยโอกาสเอาหลานมาเป็นของเล่น เจาะแจะ นิ้งโหนงโน้งแหนะ กับเด็กแล้วกรอกหูเด็กว่าพ่อมันไม่ดีแม่มันไม่ดีสู้อยู่กับปู่กับย่าไม่ได้ แล้วมีอะไรก็ถวายหัวให้เด็กเขาเรียกว่าซื้อความรัก เป็นการแก้ตัวที่พลาดเลี้ยงลูกแล้วไม่ได้ดั่งใจ แต่หารู้ไม่ว่านั่นเป็นการทำลายทรัพยากรของชาติซ้ำสอง ข้อนี้ต้องระวัง...
ดูซิเนี่ย..ผมบอกแล้วว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ คำถามนั้นมันสั้นๆ ใช่ไหม หนุ่ยถามผมว่าความรักกับความใคร่มันต่างกันอย่างไร แล้วนี่เป็นไง พากันออกทะเลไปถึงไหนต่อไหนแล้วเนี่ย ทีนี้เรามาดูเรื่องความใคร่กันดีไหม ไม่งั้นเดี๋ยวจะดึกกันไปเสียก่อน
เรื่องความใคร่ นี้มันละเอียดอ่อนจนทำให้บางคนก็ดัดจริตทำเป็นฟังไม่ได้หาว่าหยาบ หาว่าพูดเรื่องใต้สะดือ หาว่าพูดเรื่องบนเตียง รับไม่ได้ จริงๆ แล้วมันไม่ได้อยู่ที่ใต้สะดือหรืออยู่แต่บนเตียงเท่านั้น พวกนี้ไม่รู้เท่าทันธรรมชาติความเป็นมนุษย์ พวกนี้ซุปเปอร์อีโก้จัด แล้วก็มีชีวิตอยู่อย่างแห้งแล้ง คนหลายคนไม่เปิดใจกว้าง ไม่ยอมพูดถึงมัน ไม่ฟัง ไม่อ่าน ไม่เรียนรู้เสร็จแล้วก็ทำไม่เป็นตอบสนองกันและกันไม่ได้ ให้ก็ไม่เป็นรับก็ไม่เป็น อย่างนี้มันก็จบเห่กันเท่านั้นแหละ
เอาหละจะเล่าให้ฟัง เรื่องความใคร่นี้มันมีอยู่ในทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนหนุ่มคนแก่ ผู้หญิงหรือผู้ชาย คนรวยคนจน คนโง่คนฉลาด คนดีคนบ้า คนปกติคนพิการ หูหนวก ตาบอด แขนขาด ขาขาด ยกเว้นพวกคอขาด
เมื่อถึงวัยที่ร่างกายมีความสมบูรณ์พร้อมเขาเรียกว่าวัยเจริญพันธุ์ มันก็เท่ากับว่ามนุษย์ผู้นั้นก้าวย่างเข้าสู่ภาวะที่จะต้องสืบทอดเผ่าพันธุ์ มันเป็นกลไกของธรรมชาติ ในสมัยมนุษย์ยุคหินหรือมนุษย์โบราณเนี่ยคนเราดำเนินชีวิตไปตามกลไกธรรมชาติจริงๆ ในยุคนั้นยังไม่มีกฏเกณฑ์ทางสังคมใดๆ ลองย้อนกลับไปดูมนุษย์ในยุคดึกดำบรรณตามที่ เองเกล.. เฟรดเดอริค เองเกล (Frederick Eegel) นักปรัชญาชาวเยอรมันได้สานต่อแนวคิดของมอร์แกน(Lewis H. Morgan) นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน และบัคโอเฟ่น(J.J.Bachofen) นักประวัติศาสตร์ชาวสวิสส์ในเรื่องที่เกี่ยวกับครอบครัวในยุคดึกดำบรรพ์และบรรยายไว้ในหนังสือ The Origin of the Family จะพบว่ามนุษย์ในยุคดึกดำบรรพ์นั้นมีการอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มใหญ่ เดินทางอพยพโยกย้ายไปตามแหล่งต่างๆที่มีความอุดมสมบูรณ์ของอาหารตามฤดูกาล อาหารที่หามาได้ก็จะเป็นของกลุ่ม เป็นกรรมสิทธิ์แบบรวมหมู่หรือเครือญาติ กิจกรรมต่างๆ ภายในกลุ่มก็จะเป็นกิจกรรมแบบเครือญาติเช่นกัน ความเป็นอยู่ระหว่างหญิงชายในกลุ่มยังไม่ได้มีการแยกแยะว่าใครเป็นผัวใครเมียใคร ยังไม่มีประเพณีการสมรสอย่างเช่นทุกวันนี้ หญิงชายทุกคนยังคงมีเพศสัมพันธ์กันแบบผสมผสาน ลูกที่เกิดออกมาจึงไม่สามารถนับได้ว่าเป็นทายาทของชายใด คงอ้างได้แต่แม่ผู้ให้กำเนิดทารกเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงนับว่าในยุคบุพกาลนั้นเป็นยุคที่ผู้หญิงมีความเป็นใหญ่ทางสายเลือด(mother right) เกี่ยวกับเรื่องนี้จะเล่าให้ฟังโดยละเอียดในภายหลัง
กระทั่งต่อมาเมื่อมนุษย์มีพัฒนาการทางด้านแรงงานและมีเครื่องมือในการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น สามารถแสวงหาอาหารได้มากขึ้นจนถึงขั้นสามารถทำการเกษตรและปศุสัตว์ได้เองจึงมีการเริ่มสะสมสิ่งที่เรียกว่าทรัพย์สมบัติ ตลอดจนแรงงานที่เรียกว่าทาสภายใต้การปกครองของตน ลัทธิความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของจึงเกิดขึ้นตามมา
วัฒนธรรมการอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มใหญ่หรือที่เรียกการอยู่แบบเครือญาติจึงค่อยๆ ล่มสลายไปกลายเป็นการอยู่ร่วมกันแบบ ครอบครัว มีระบบการปกครองภายในครอบครัวโดยมีหัวหน้าครอบครัวเป็นชายที่มากด้วยศักยภาพและสามารถครอบครองหญิงหรือมีภรรยาได้หลายคนซึ่งส่วนใหญ่ก็ได้มาจากการสะสมทาสแรงงาน ครอบครัวในยุคนี้จึงเริ่มมีการสืบทอดหรือนับสายเลือดจากฝ่ายชายและมีการสืบทอดทรัพย์สินต่างๆให้กับทายาท การขยายตัวด้านสังคมครอบครัวจึงเริ่มขึ้นและขยายตัวในรูปของครอบครัวทีมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ จนปัจจุบันนี้เราจะเห็นว่าครอบครัวบางครอบครัวก็มีแต่สามีและภรรยาเท่านั้น เอ้า..เลยไปอีกละ...
เรื่องความใคร่นี้มันเป็นธรรมชาติที่ติดตัวมนุษย์มา มันเป็นไดรฟ์ มันเป็นแรงขับที่จะสืบทอดเผ่าพันธุ์มนุษย์ มันก็เหมือนกับพืชและสัตว์นั่นแหละ พืชมันสามารถผสมพันธุ์ในตัวของมันเอง มันมีเกษรตัวผู้กับตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกันมันก็เลยผสมกันได้ ส่วนสัตว์นั้นก็เหมือนคนยกเว้นพวกสัตว์เซลล์เดียวพวกอมีบาที่มันผสมในตัวมันได้แล้วก็แยกเซลล์ออกมาอีก พวกสัตว์นี้มันแยกสองเพศเป็นอิสระจากกันเหมือนคน แต่สัตว์มันไม่เลือกที่รักมักที่ชัง มันเลือกอย่างเดียวว่าสมบูรณ์พร้อมหรือไม่ พวกนี้มันดมกลิ่นเอา มันลิ้มรสเอาแล้วมันก็รู้โดยสัญชาติญาณที่สอนมันไว้
ส่วนคนเรามันไม่ใช่อย่างนั้น คนเรามันมีจิตเป็นเครื่องปรุงแต่ง ถ้าจิตมันบกพร่องมันก็ปรุงแต่งไปอย่างผิดๆ อย่างกรณีที่ไอ้บ้ากามข่มขืนเด็กวัยสองขวบหรือข่มขืนคนแก่วัยเจ็ดสิบแปดสิบอะไรพวกนั้น พวกนี้มันเป็นพวกจิตผิดปกติประเภทจิตหงุดเงี้ยว...ตามที่วัยรุ่นเขาพูดกัน
ส่วนคนเรามันไม่ใช่อย่างนั้น คนเรามันมีจิตเป็นเครื่องปรุงแต่ง ถ้าจิตมันบกพร่องมันก็ปรุงแต่งไปอย่างผิดๆ อย่างกรณีที่ไอ้บ้ากามข่มขืนเด็กวัยสองขวบหรือข่มขืนคนแก่วัยเจ็ดสิบแปดสิบอะไรพวกนั้น พวกนี้มันเป็นพวกจิตผิดปกติประเภทจิตหงุดเงี้ยว...ตามที่วัยรุ่นเขาพูดกัน
ทีนี้คำว่าจิตปรุงแต่งก็คือ เมื่อตาเห็นรูปมันก็บอกว่าสวยว่าหล่อ หูได้ยินเสียงมันก็บอกว่าไพเราะ จมูกได้กลิ่นมันก็บอกว่าหอม มือได้สัมผัสมันก็บอกว่านุ่มว่าแข็ง แล้วจิตมันก็รัญจวน แต่คนเรามันไม่จำเป็นต้องได้รับการสัมผัสผ่านผัสสะทั้งหมด เพียงแต่ได้รับอย่างใดอย่างหนึ่งมันก็สร้างความรัญจวนให้กับจิตได้ มันจึงเกิดสิ่งที่เรียกว่ารักแรกพบ ไงหนูดา พอเห็นรูปว่าสวยก็ชอบก็เกิดความรัญจวนใจได้เลย ซึ่งคนเราส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้คือหลงรูปและกว่าจะรู้ว่าสวยแต่รูปจูบไม่หอมบางทีมันก็สายไป บางคนหัวปักหัวปำจะเอาให้ได้ใครว่าใครห้ามอย่างไรก็ไม่ฟังเพราะมันหลงเข้าไปแล้ว พอจิตมันรัญจวนเนี่ยมันก็อยากจะผสมพันธุ์เพื่อสืบทอดเผ่าพันธุ์ เห็นไหมตรงนี้มันมีความสัมพันธุ์กันเมื่อร่างกายพร้อมและจิตรับเข้ามาปรุงแต่งมันก็กลายเป็นความใคร่ คนเรามันต่างจากสัตว์ตรงที่สัตว์นั้นภาวะทางกายเป็นฝ่ายนำเป็นฝ่ายขับเคลื่อน แต่คนเรานั้นภาวะทางจิตเป็นฝ่ายนำเป็นฝ่ายขับเคลื่อน คนจึงมีรอบการผสมพันธุ์ที่มากกว่าสัตว์ คนไม่ได้ผสมพันธุ์เพื่อสืบทอดเผ่าพันธุ์แต่เพียงอย่างเดียว เพราะจิตของคนเรามันหลงมันติดอยู่ในส่วนที่เรียกว่าตัณหาราคะ มันจึงหยุดยั้งเรื่องความใคร่ได้ยาก แต่หากมีอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นมันก็ไม่เกิดเป็นความใคร่ขึ้นมาได้ อย่างเช่นพระสงฆ์ทั้งหลายท่านมีร่างกายที่พร้อมสมบูรณ์แข็งแรง แต่ในเมื่อจิตไม่รับรูปรับนามเข้ามาปรุงแต่งก็ไม่อาจเกิดเป็นความใคร่ขึ้นมาได้ ท่านจึงครองพรหมจรรอยู่ได้ แต่หากรูปใดที่ไม่อาจควบคุมจิตได้ ถ้าไม่ผิดศีลข้อปราชิกก็ต้องร้อนผ้าเหลืองค้องลาสึกขาออกมาในที่สุด
ทีนี้เราในฐานะปุถุชนคนเดินดิน เราต้องดำเนินชีวิตไปตามครรลองของมันโดยเฉพาะชีวิตคู่เราต้องดูแลกัน ตอบสนองกันได้ แต่ทีนี้การที่จะตอบสนองกันได้นั้นเราก็ต้องศึกษากันพูดคุยกันบอกกันปรึกษากัน ว่าจะแค่ไหนอย่างไร แล้วมันจึงจะเข้ากันได้ ไปกันรอด ถึงฝั่งกันทุกคน ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรีบเร่งจะไปให้ถึงฝั่งโดยไม่รออีกฝ่ายหนึ่งมันก็เหมือนพากันไปปล่อยกลางทะเล พออีกฝ่ายหาฝั่งไม่เจอ ทีนี้ขอนไม้ลอยมาก็จะเกาะขอนไม้ไป แล้วไปไหนก็อาจจะไปขึ้นอีกฝั่งหนึ่งกับขอนไม้แล้วมันจะยุ้งกันไปใหญ่ ที่เป็นปัญหาทุกวันนี้ส่วนหนึ่งก็มาจากการถูกลอยแพกลางทะเลแบบนี้แหละ
เอานะ..ความรักกับความใคร่ มันเป็นคนละเรื่องเดียวกัน ทั้งนี้มันก็ขึ้นอยู่กับว่ารักกับใคร รักกับพ่อแม่พี่น้องเพื่อนฝูงมันก็ไม่มีเรื่องความใคร่เข้ามาเกี่ยวข้อง รักกับคนรักกับสามีกับภรรยานี้มันมีเรื่องความใคร่เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ แล้วก็ไม่ต้องไปว่ากันหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีมากมีน้อย เราก็ต้องค่อยปรับเข้าหากันหาจุดสมดุลหาความพอดีให้ได้ แล้วชีวิตคู่ก็จะมีความสุขสมวัย
แล้วที่ว่าความรักกับความใคร่อันไหนเกิดก่อนเกิดหลัง นั้นมันก็แล้วแต่กรณี ว่าใครเริ่มต้นมาอย่างไร แต่สุดท้ายมันก็ต้องไปคู่กัน มีใคร่อย่างเดียวมันก็หยาบไป มีรักอย่างเดียวมันก็แห้งแล้งจืดชืดไป คนโบราณท่านจึงบอกไว้ว่า เป็นผัวเมียกันก็ต้องรักใคร่กัน อย่าทิ้งร้างห่างเหินกันไงหละ เรื่องนี้จะพูดกันยังไงมันก็ไม่จบ มันมีเนื้อหาสาระข้อปลีกย่อยเยอะ มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน อย่างที่ลุงบอกเธอแต่แรกแล้วว่าคำถามง่ายแต่ตอบยาก”
“มันก็จริงของคุณลุงนะครับ ที่ว่ามันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนล่อแหลม เลยไม่ค่อยมีใครพูดถึงมัน นี่ผมพึ่งจะเป็นครั้งแรกเลยนะครับที่ได้ฟังเรื่องนี้อย่างเต็มๆ แล้วผมว่าที่คุณลุงพูดมาเนี่ยมันก็ไม่ได้หยาบตรงไหน จริงๆนะครับ”
“ มันก็อยู่ที่เทคนิคการพูดแหละนะ ว่าจะพูดให้หยาบวนอยู่แต่รอบๆ ศูนย์รวมความบันเทิงเพื่อเรียกเสียงฮาหรือกระตุ้นต่อมราคะก็ได้ หรือจะพูดให้มันเป็นวิชาการแบบฟังเพลินเกินคุ้มก็ได้ มันขึ้นอยู่กับทั้งคนพูดและคนฟัง บางทีคนพูดอยากพูดอย่างหนึ่งแต่คนฟังอยากฟังอีกอย่างหนึ่งก็มี ส่วนใหญ่ก็จะพูดแบบกลางๆ แหละนะ ส่วนที่ลึกลับหรือเรื่องกลยุทธการโรมรันก็ต้องศึกษากันเองจนกว่าจะเข้าขากันนั้นแหละ แล้วหนูดาหละว่าไงเรื่องนี้ ”
“ หนูไม่ว่าคะ..หนูเป็นช้างเท่าหลัง ”
“ เออ!..ก็ดีแล้วเป็นช้างเท้าหลังก็ดีแล้ว แต่เวลาเดินก็ต้องระวังหน่อยนะ ข้างหน้ามันเป็นตัวผู้ต้อง...ระวัง!..หางช้ำ..แล้วเรามันเป็นตัวเมียอยู่ข้างหลังก็ให้หุบๆหน่อยต้อง..ระวัง!...หางชี้...”
หนุ่ยหัวเราะชอบใจมุขนี้ แต่ดาคิดไม่ทันจึงได้แต่ทำหน้างงๆ
“ อะไรเหรอคะ มีอะไรให้ขำกันเหรอคะ...หนุ่ย...เร็วบอกดาหน่อยจะได้ขำด้วยคน....เร็วซี่..” ดาเขย่าแขนคะยั้นหนุ่ย
“ ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะ หนุ่ยก็ขำเรื่องหำช้าง เอ้ย! ไม่ใช่เรื่องหางช้าง หางช้ำนะ".....(9)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น