วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

village หมู่บ้านหนุงกี...(2)



“พ่ออีกนานไหมครับ” ลูกชายคนเล็กวัยเจ็ดขวบของปรีชาร้องถามเป็นครั้งที่สอง   หลังจากที่นั่งรถออกจากบ้านมาเป็นเวลาถึงสามชั่วโมงแวะเข้าปั๊มน้ำมันเพื่อให้แต่ละคนที่นั่งมาในรถได้ยืดเส้นยืดสายคลายความปวดเมื่อยครั้งหนึ่งแล้วเมื่อชั่วโมงเศษที่ผ่านมา
“อีกหลายชั่วโมงครับลูก เดี๋ยวเราจะแวะที่ปั๊มน้ำมันข้างหน้าอีกที คราวนี้ต้องไม่นานนะเพราะเราต้องเดินทางอีกไกลกว่าจะถึงจุดหมายปลายทางเดี๋ยวจะสายเกินไป ” ปรีชาตอบลูกชายของเขาโดยไม่ได้หันหน้าไปมองเพียงแต่เหลือบตามองผ่านกระจกส่องหลังแล้วกลับมามองถนนตามที่แสงไฟรถส่องออกไปข้างหน้าขณะที่รถยังเคลื่อนต่อไปเรื่อยๆ 

ทุกๆช่วงสิ้นปีเขาจะพาครอบครัวเดินทางไปแจกสิ่งของให้กับคนยากไร้ในถิ่นธุระกันดารเสมอ   เขาจะเลือกท้องถิ่นที่อยู่ห่างไกลความเจริญผู้คนยากจนและขัดสนจริงๆ มันเป็นที่ๆ ซึ่งทุกคนพร้อมที่จะรับทุกสิ่งจากเขาโดยไม่รังเกียจว่าสิ่งที่เขานำมาให้นั้นเป็นของใหม่หรือของใช้แล้ว   เพราะสิ่งของที่เขานำไปแจกบางอย่างเช่นเสื้อผ้า  หนังสือ ของเล่นเด็กๆ  ได้มาจากการขอรับบริจาคจากเพื่อนๆหรือคนรู้จักและตามสถานที่ๆเขาไปเป็นวิทยากรบรรยายวิชาการให้  แต่ก็มีของใหม่บ้างเช่นสบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน อุปกรณ์กีฬายาสามัญประจำบ้านและอาหารแห้ง  ปีนี้ก็เช่นกันเขาเลือกหมู่บ้านหนุงกี  ที่อยู่ติดกับชายแดนระหว่างประเทศไทยกับพม่า   ผู้คนส่วนใหญ่อพยพหนีความกันดารและภัยสงครามจากการต่อสู้ของชนเผ่ากับรัฐบาลทหารแล้วเข้ามาอาศัยแผ่นดินไทยภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร   กลุ่มคนที่ข้ามมามีทั้งไทยใหญ่ กะเหรี่ยง ม้งและมอญ  แม้ว่าจะมีความแตกต่างกันด้านเผ่าพันธุ์และภาษาแต่พวกเขาก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในประเทศไทยและกับคนไทยได้อย่างกลมกลืนภายใต้การปกครองของรัฐบาลไทยโดยมีทหารและตำรวจตระเวนชายแดนเป็นผู้ดูแลความสงบเรียบร้อยตลอดทั้งยังได้ให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆเช่นบริการด้านสาธารณสุขและการศึกษาแก่เด็กๆในหมู่บ้าน  แต่ก็ยังขาดแคลนด้านอุปกรณ์การศึกษา ยาเวชภัณฑ์และเครื่องนุ่งห่มซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากในช่วงฤดูหนาว 

ปรีชาขับรถตามทางมาเรื่อยๆจนเกือบสว่างซึ่งเป็นเวลาประมาณ 6 นาฬิกา  สมาชิกที่นั่งมาในรถคือลูกๆ และภรรยาของเขาต่างก็หลับกันหมด  พอเห็นป้ายบอกทางข้างถนนว่าบ้านดอกเลา   เขาจึงยกเท้าผ่อนคันเร่งชะลอความเร็วรถลงแล้วเหยี่ยบคลัชลงช้าๆ เพื่อไม่ให้รถกระตุกขณะที่ค่อยๆ พารถเข้าแอบข้างทางปล่อยไหลไปเรื่อยจนรถเกือบหมดแรงเคลื่อนเขาจึงได้เหยียบเบรคเบาๆ ให้รถจอดสนิท  หยิบกระดาษที่เขาจดเส้นทางขึ้นมาดูอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่ามาถูกทางตามที่ผู้กองกิตติบอกทางโทรศัพท์เมื่อวันก่อนเพราะถนนเส้นนี้ไม่มีป้ายบอกทางเข้าหมู่บ้าน   คนส่วนใหญ่ที่ใช้เส้นทางนี้จะเป็นคนในพื้นที่ๆ ต่างก็รู้กันดีว่าเส้นทางแต่ละเส้นมุ่งไปไหนและจะลำบากมากสำหรับคนต่างถิ่นที่ยังไม่เคยมาแม้แต่ข้าราชการที่จะเข้าไปทำงานในพื้นที่บางครั้งก็ยังหลงทางหาทางเข้าหมู่บ้านไม่พบต้องสอบถามไปยังผู้กองกิตติบ่อยๆ และคงจะเป็นจริงตามที่ผู้กองเล่าให้ฟัง  

ปรีชาหรี่ตาอ่านบันทึกเส้นทาง
“เลยตลาดบ้านดอกเลา(มีป้ายบอก)ประมาณ 12 กม. มีทางแยกขวามือเป็นทางลูกรังมองตามทางเข้าไปไกลๆสัก 150 เมตรจะเห็นต้นยางขนาดใหญ่อยู่ทางซ้ายมือบนต้นยางมีป้าย “พระเจ้าผู้ไถ่บาป” สีเหลืองติดอยู่  ขับเข้าไปตามทางนั้นประมาณ 18 กม.  ถึงบ้านดงแป๊ะ มีบ้านเจ็ดแปดหลังตั้งอยู่สองข้างทางห่างกันพอสมควร    พอเห็นป่าช้าอยู่ทางขวามือเป็นอันสิ้นสุดหมู่บ้าน    เลยป่าช้าท้ายหมู่บ้านไปอีกหน่อยเป็นทางสามแยกให้เลี้ยวซ้ายแยกจากถนนหลักเข้าไปประมาณ1กม.จะพบสะพานไม้ข้ามลำห้วยเล็กๆ   หลังจากข้ามสะพานไม้ แล้วจะเป็นทางขึ้นเขาไปเรื่อยๆ” 

อ่านมาถึงตรงนี้เขาก็สอดกระดาษเข้าไว้ใต้พรมหน้ารถเหมือนเดิม “เอาแค่นี้ก่อนเดี๋ยวงง ไว้ไปถึงบ้านดงแป๊ะค่อยดูอีกที” ปรีชาคิดอยู่ในใจคนเดียว ขณะจอดรถอ่านบันทึกเส้นทางอยู่นั้นเขาสังเกตเห็นว่าไม่มียวดยานหรือผู้คนผ่านไปมาแม้ว่าจะเป็นเวลาหกโมงเช้าแล้วก็ตาม บรรยากาศด้านนอกรถมีหมอกลงบางตา 

“ถึงไหนแล้วป๊า” ภรรยาของเขางัวเงียขึ้นมาถาม
“ใกล้ถึงปากทางที่จะเข้าหมู่บ้านหนุงกีแล้วหละ  ป๊าคิดว่าใช่นะ   ถ้าดูไม่ผิดที่ผ่านมาเป็นบ้านดอกเลา    ผู้กองกิตติบอกว่าเลยตลาดบ้านดอกเลา 12 กิโล  มีทางลูกรังแยกขวามือมองเข้าไปไกลๆเห็นต้นยางใหญ่อยู่ทางซ้ายติดป้าย “พระเจ้าผู้ไถ่บาป” สีเหลืองๆ เดี๋ยวเราค่อยๆขับรถไปอีกหน่อย  ช่วยพี่ดูทางหน่อยก็ดีนะจะได้ไม่เลยทางเข้าหมู่บ้าน” 
ปรีชามองดูตัวเลขเรือนไมล์ที่หน้ารถเพื่อที่จะจับระยะทางแล้วขับรถช้าๆ ตามทางมาเรื่อยๆจนเกือบ12กม.  จึงได้เริ่มมองหาทางแยกขวามือ  พอขับรถต่อมาอีกก็พบทางแยกเขาจึงจอดรถชิดซ้ายแอบข้างทางเพื่อที่จะมองข้ามถนนไปดูว่ามีต้นยางติดป้าย “พระเจ้าผู้ไถ่บาป” หรือไม่
“นั่นไงป๊ะ ต้นยางใหญ่กับป้าย พระเจ้าผู้ไถ่บาป” ภรรยาของเขาพูดพร้อมกับชี้ไปที่ต้นยางใหญ่
“ เรามาถูกทางแล้วหละ เออ! ดูซิ ศาสนาอื่นเขามีความพยายามสูงจริงๆ ที่จะเผยแพร่ศาสนาของเขาและทำกันอย่างจริงจัง  ใครนะมันช่างมีความมานะเอาป้ายขึ้นไปติดข้างบนสูงขนาดนั้น   แต่ก็ดีนะการติดป้ายอย่างนี้ทำให้คนได้เห็นทุกวัน  อ่านทุกวันแล้วมันก็จะค่อยๆซึมเข้าไปในระบบการรับรู้และเกิดการยอมรับเข้าสักวัน  มันเป็นการสะกดจิตผู้คนทีละน้อยทีละน้อยจนในที่สุดข้อความนี้ก็จะติดอยู่ในจิตใต้สำนึกของชาวบ้าน  พอพวกเขาพบกับความลำบากไม่รู้จะไปพึ่งใครก็หันไปพึ่งสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวอย่างหมอสอนศาสนาที่เข้ามาคลุกคลีกับผู้คนในหมู่บ้านและคอยให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ อย่างน้อยก็ได้คำปลอบใจหรือไม่ก็แนวคิดในการแก้ไขปัญหา   พอชาวบ้านได้รับการช่วยเหลือก็จะรู้สึกว่าหมอสอนศาสนาเหล่านี้เป็นคนดีมีน้ำใจ เกิดเป็นความศรัทธาขึ้นมาอีก  ทีนี้พอหมอสอนศาสนาพูดอะไรเกี่ยวกับพระเจ้าหรือบอกว่านี่เป็นความช่วยเหลือจากพระเจ้าเป็นพระเมตตาของพระองค์   พระองค์เห็นและรับรู้ถึงความทุกข์ของพวกเขาชาวบ้านก็จะเชื่อและในที่สุดก็ตัดสินใจเข้าร่วมศาสนาได้ง่ายเมื่อถูกชักชวน    มันเป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งที่ใช้ในการสร้างมวลชนได้ดี  แต่ก็อย่าไปว่าเขาเลย  อะไรก็ดีทั้งนั้นไม่ว่าศาสนาใดหรือใครทำก็ตาม  ขอให้ผู้คนอยู่ดีกินดี บ้านเมืองมีความเจริญก็แล้วกัน” 
หลังจากบ่นกึ่งระบายพร้อมกับแสดงความคิดเห็นแล้วเขาก็ค่อยๆ ขับรถข้ามถนนเข้าไปจอดใกล้ๆ ต้นยางใหญ่ ภรรยาของเขาจึงหันมาถามว่าจอดรถทำไม
“ เรามาถูกทางแล้วหละ  ตอนนี้ขอตั้งหลักก่อนนะจ๊ะ  เรายังมีน้ำร้อนเหลืออยู่ในกระติกอีกไม่ใช่เหรอ  ป๊าอยากได้กาแฟอีกสักแก้ว”
“มีจ๊ะ เดี๋ยวน้องลงไปชงให้” 

พอภรรยาลงรถเดินอ้อมไปเปิดห้องสัมภาระด้านหลัง   เขาก็หยิบแผ่นซีดีเพลงที่วางอยู่หน้ารถมาเสียบเข้าในเครื่องเล่นแล้วเปิดเบาๆ 

“ยามอุษานภาสว่าง ทั่วนภาสว่างแล้ว ตื่นนิทราเสียเถิดน้องแก้ว สว่างแล้วนะแก้วตา แจ้วจำเรียงเสียงกระซิบสั่งดังสัญญา กระซิบรักคำว่า อุษาสวาทปอง..........”
“แหม ป๊าเปิดเพลงเข้าบรรยากาศดีจังเลย เช้าๆ อย่างนี้   แต่น้องตื่นแล้วจ๊ะ เปิดเพลงปลุกลูกๆ เถอะ  เขาจะได้เห็นบรรยากาศต่างจังหวัดยามเช้าแบบนี้บ้าง นานๆ จะได้ออกมากันที” พอพูดจบ เจ้าลูกชายคนโตที่รู้สึกตัวตื่นแล้วก็พูดเสริมขึ้นมาทันทีว่า
“ ดีเลยแม่เปิดเพลงของพวกหนูดีกว่า เพลงของพ่อนะอะไรก็ไม่รู้มันช้ามาก ขืนเปิดต่อไปพวกหนูคงหลับต่อแน่ ฟังแล้วรู้สึกง่วงจริงๆ อยากนอนต่อ”
“ ตื่นแล้วหรือลูก จะฟังเพลงอะไรหละ  แต่พ่อขออย่างนะ เช้าๆอย่างนี้ ไอ้พวก บึมๆ..ๆ..ๆ.. ยังไม่ฟังนะลูก”
“เพลงอะไรก็ได้พ่อ”
“เพลงอะไรก็ได้พ่อยังไม่ได้ซื้อมาเลย”
“พ่อก็ ” เจ้าลูกชายตัดพ้อแล้วถามต่อว่า “กี่โมงแล้วครับ   แล้วเราต้องไปอีกไกลไหมครับ? ”
“หกโมงแล้วครับ  เราต้องไปอีกประมาณสี่สิบกิโล   ใช้เวลาขับรถอีกประมาณสองชั่วโมงเพราะเป็นทางลูกรังขึ้นเขาชันมาก  ถ้าหนูหิวก็กินขนมปังไปก่อนเดี๋ยวค่อยไปกินข้าวเช้าที่โน่น   นมที่เอามาก็ยังมีเหลืออยู่ไม่ใช่เหรอ”
“ยังไม่หิวหรอกพ่อ ไปต่อเถอะ ตรงนี้หนาว   พ่อเปิดแอร์รถอยู่รึเปล่าครับ”
“ปิดแล้ว... พ่อปิดตอนที่แม่ลงรถไปชงกาแฟให้พ่อเมื่อกี้นี้   อยู่ตรงนี้หนูยังบอกว่าหนาวเดี๋ยวขึ้นไปบนเขาจะหนาวมากกว่านี้อีก  เอาเสื้อเจ็คเก็ตมาใส่ซิลูก แล้วหยิบของน้องมาด้วย   พอพ่อกินกาแฟเสร็จจะได้เดินทางกัน”
“ พ่อ..พ่อ.. นั่นนกอะไรครับ ตัวใหญ่มากเลย” ลูกชายคนโตถามพลางชี้มือไปยังนกที่เกาะอยู่บนยอดไม้แห้งขณะเดินไปหยิบเสื้อแจ็คเก็ตที่ท้ายรถ   ปรีชามองตามทิศทางที่ลูกชายเขาชี้

“ อ๋อ นั่นเหยี่ยวลูก เช้าๆ มันจะออกมา  เขาพูดกันว่ามันออกมาผิงแดด ซึ่งก็ถูกแต่พ่อว่ามันมีวัตถุประสงค์อีกอย่างก็คือออกมาหาเหยื่อหาอาหาร  ตามธรรมชาติแล้วสัตว์ทุกชนิดจะออกหากินแต่เช้า  อย่างเหยี่ยวเนี่ยมันก็จะออกมาหากินพวกหนู   พวกงูหรือไม่ก็กบ  เขียดตัวเล็กๆ    คอยดูนะ พอเห็นเหยื่อมันก็จะบินพุ่งเข้าใส่เร็วมากเหมือนเครื่องบินคามิคาเซ่ของทหารญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่สองที่พุ่งเข้าชนเรือรบของพวกอเมริกันเลยแหละ   แล้วมันก็จะใช้กงเล็บขยุ้มเหยื่อของมัน   พอได้เหยื่อมันก็จะบินเรียบไปกับพื้นแล้วค่อยๆเพิ่มความสูงขึ้นเรื่อยๆเหมือนเครื่องบินโดยสารกำลังทะยานขึ้น เพราะเหยื่อที่มันใช้กงเล็บขยุ่มขึ้นไปนั้นมีน้ำหนักพอสมควรมันจึงต้องค่อยๆบินขึ้นแบบนั้น   แต่ถ้าไม่ได้เหยื่อมันก็จะกระโดดแล้วบินขึ้นได้ตรงๆคล้ายกับเฮลิคอปเตอร์กำลังบินขึ้นอย่างนั้นแหละ  หนูคอยดูให้ดีซิ"

พออธิบายจบปรีชาก็รับกาแฟร้อนๆ จากภรรยาของเขามาจิบ
“ฝีมือชงกาแฟของแม่เนี่ยได้มาตรฐานทุกครั้งเลย   พ่อชอบให้แม่ชงกาแฟให้  พ่อชงเองไม่เคยได้รสชาติแบบนี้สักทีเลย”
“พ่อ..พ่อ..มันบินลงไปแล้ว”
“อะไรเหรอพี่ชาลี..” ลูกชายคนกลางของเขาตื่นขึ้นมาเพราะเสียงร้องด้วยความตื่นเต้นของพี่ชาย
“เหยี่ยวนะ เหยี่ยวมันกำลังบินลงไปจับเหยื่อ”
“ไหนละ  น้องไม่เห็นเห็นเลย”
“โน่น..โน่นไงมันกำลังบินขึ้นแล้ว   แต่พี่ว่ามันคงจับเหยื่อไม่ได้ ”
“พี่ชาลีรู้ได้ไง”
“ก็พ่อบอกพี่เมื่อกี้ว่าถ้ามันค่อยๆ บินขึ้นก็คือมันได้เหยื่อเพราะมันหนัก แต่ถ้ามันจับเหยื่อไม่ได้ตัวมันเบาเลยบินขึ้นเร็ว ”
“เหรอ! พ่อ..หนูปวดฉี่” ลูกชายคนกลางหันไปบอกพ่อพลางเป็นการขออนุญาติ
“เออ..พี่ก็ปวดเหมือนกัน  พ่อครับฉี่ตรงนี้ได้ไหมครับ”
“ได้ซิลูก  แต่อย่าหันหน้าไปทางเหยี่ยวนะ”
“ทำไมหละพ่อ”
“เดี๋ยวเหยี่ยวมันเห็นเข้ามันจะคิดว่ากระรอกน้อยโผล่ออกมาจากโพลงไม้  แล้วมันจะบินมาโฉบเอาไป  มันเจ็บยิ่งกว่าซิปหนีบอีกนะ  จะบอกให้...ไปเถอะพ่อพูดเล่น”
หลังจากเด็กทั้งสองฉี่เสร็จกลับมาขึ้นรถ
“เป็นไง ได้กระต่ายไหมลูก”
“กระต่ายอะไรเหรอพ่อ” เจ้าลูกคนเล็กตื่นขึ้นมาพอดี
“อ๋อ..พี่ชาลีกับพี่ชาตรีเขาไปฉี่มา  พ่อเลยถามว่าได้กระต่ายไหม”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับกระต่ายหละพ่อ” ลูกคนกลางถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

“ผู้ใหญ่เขามักจะพูดกันอย่างนี้   เวลาเดินทางไปไหนแล้วปวดฉี่เหมือนกับลูกนี่แหละ  หาห้องน้ำไม่ได้ก็จอดรถแวะฉี่กันข้างทาง   เป็นผู้ใหญ่จะบอกว่าให้จอดรถหน่อยปวดฉี่ขอลงไปฉี่ที  บางทีเขาก็อายหรือไม่ก็กระดากปากที่จะพูด   แล้วอีกอย่างบางทีมีผู้หญิงมาด้วยอาจจะทำให้ผู้หญิงอายได้   เพราะมันเป็นการกระทำกลางแจ้งที่ต้องเอาเจี้ยวออกมา  ก็เลยพูดกลบเกลื่อนเล่นๆกันไปว่า  จอดรถลงไปยิงกระต่ายกันหน่อย พ่อก็เลยหยอกหนูว่าได้กระต่ายกลับมากันหรือเปล่า ส่วนพวกผู้หญิงเขาก็จะพูดว่า ดอกไม้แถวนี้สวยจัง ขอลงไปเก็บดอกไม้หน่อยเถอะ  พอรถจอดก็พากันวิ่งเข้าป่าข้างทางไปถ้าปวดน้อยก็ไปฉี่ แต่ถ้าปวดมากก็ไปฉ่า”

“ป๊า นี่ทะลึ่งอีกละ” ภรรยาเขาปราม
“อ๋อ!..” เจ้าลูกชายคนกลางแสดงความเข้าใจ
“พร้อมกันแล้วใช่ไหมลูก พี่ชาลี?”
“ครับ”
“พี่ชาตรีละ!”
“ครับ”
“น้องชาคริสต์!”
“ค๊าบ..”
“ม่ามี้”
“พร้อมนานแล้วจ้า”
“อ้าว.. แล้วไม่ไปเก็บดอกไม้เหรอ  พ่อก็ลืมถามไป”
“ยังไม่ปวดจ้า”
“เอ้า..ถ้าพร้อมกันแล้วก็เดินทางต่อ  พ่อพร้อมรึยัง...พร้อมแล้วครับ” ถามเองตอบเอง
“ ช่วยกันดูทางหน่อยนะทุกคน หมู่บ้านต่อไปเป็นบ้านดงแป๊ะอยู่ห่างจากนี่ 18 กิโล ตอนนี้เลขไมล์อยู่ที่ 327 บวกอีก 18 เป็นเท่าไหร่ครับพี่ชาตรี?”
“อะไรนะครับพ่อ”
“ตอนนี้เลขไมล์ที่หน้ารถพ่ออยู่ที่  สามร้อยยี่สิบเจ็ดถ้าบวกอีกสิบแปดจะเป็นเท่าไหร่”
“เดี๋ยวนะพ่อ  ขอหนูนับดูก่อน  สามร้อยยี่สิบเจ็ด  สามร้อยยี่สิบแปด สามร้อยยี่สิบเก้า  สามร้อยสามสิบ” ชาตรียกมือสองข้างขึ้นมากางแล้วนับทีละนิ้ว
“ชาตรีนับแบบนี้แล้วเมื่อไหร่มันจะเสร็จ” ชาลีบวกเลขได้เก่งกว่าจึงขัดจังหวะน้องขึ้นมา
“ก็น้องยังไม่เก่งนี่  จะให้น้องบวกอย่างพี่ชาลีได้ยังไง” ว่าแล้วก็งอนเงียบไป
“พี่ก็ไม่ได้ว่าชาตรีหรอก  เพียงแต่จะบอกว่าต้องบวกยังไง  ก็เอาสามร้อยไว้ในใจจำไว้ก่อน   แล้วเอาสิบแปดมาบวกกับยี่สิบเจ็ด  แปดบวกกับเจ็ดได้สิบห้าใส่ห้าทดหนึ่งแล้วเอาหนึ่งที่ทดบวกกับสองบวกกับหนึ่งอีกทีก็ได้สี่สิบห้าบวกกับสามร้อยที่เอาไว้ในใจเมื่อกี้มันก็ได้สามร้อยสี่สิบห้า  ง่ายจะตาย เร็วด้วย”
“ก็น้องยังไม่ได้เรียนนี่  ครูยังไม่ได้สอน ” เจ้าตัวกลางแหวเข้าใส่อย่างไม่ลดละ
“ไม่เป็นไรหรอกลูก  ไม่ต้องทะเลาะกัน” ผู้เป็นแม่เข้ามาไกล่เกลี่ย “น้องเขายังเรียนไม่ถึงลูก เขาต้องนับตามวิธีที่เขาเรียนมา หนูนะโตกว่าน้องตั้งสามปี   เรียนก่อนก็ต้องรู้มากกว่าน้อง   จริงๆแล้วก็ถูกทั้งสองวิธีแหละ  ชาตรีก็ไม่ต้องโกรธพี่เขาหรอก   พี่เขาจะบอกวิธีการคิดอีกแบบหนึ่งให้”
“ ก็หนูยังไม่ได้เรียนนี่ จะให้หนูคิดอย่างนั้นได้ยังไง” เถียงด้วยความไม่ยอมแพ้
“ เอาหละๆ อย่าเสียงดังกันลูก  รบกวนสมาธิพ่อกำลังขับรถอยู่ เดี๋ยวหลงทาง” พอพูดกับลูกเสร็จก็หันไปถามสามี

“สิบแปดกิโลแล้วยังไงนะ ป่าป๊า?”
“ถึงบ้านดงแป๊ะ แต่ตอนนี้เหลือไม่ถึงสิบแปดกิโลแล้วหละ เหลือประมาณสิบกิโล พอถึงบ้านดงแป๊ะแล้ว   สุดหมู่บ้านจะมีป่าช้าเลยไปเป็นทางสามแยกให้เลี้ยวซ้ายเข้าไป  พอข้ามสะพานไม้จะเป็นทางขึ้นเขาอีก กี่กิโลพ่อก็ไม่ได้ดู   แม่ลองดูในกระดาษนี้ซิ อยู่ใต้พรมข้างหน้าพ่อนี้แหละ” เขาละมือจากพวงมาลัยมาชี้ตรงที่กระดาษซุกอยู่
“ข้ามสะพานไม้เป็นทางขึ้นเขาไปเรื่อยๆอีกสิบเจ็ดกิโลจะพบด่านทหารด่านแรก  บอกเขาว่าจะไปหาผู้กองกิตติที่บ้านหนุงกี ตรงเข้าไปอีกห้ากิโลจะพบทางหักศอกขวาขึ้นเขาให้ใช้เกียร์ต่ำ  วิ่งเลาะเขาขึ้นไปเรื่อยๆ ข้ามลำห้วยเป็นสะพานไม้ไม่ค่อยแข็งแรงแต่รถพอข้ามได้ เลยสะพานไม้ที่สองไปประมาณสามกิโลจะเป็นด่านทหารก่อนเข้าหมู่บ้าน  บอกเขาแล้วเขาจะพาไปที่โรงเรียนต.ช.ด. ฮู้! ทางยากจังจำได้รึเปล่าเนี่ย” ภรรยาเขาพูด
“ พอได้ ป๊าอ่านมารอบหนึ่งแล้ว แต่ก็ช่วยกันดูทางเรื่อยๆก็แล้วกัน”
“บ้านดงแป๊ะ” ตัวหนังสือสีแดงเลือนๆ เขียนด้วยลายมือบนปีกไม้ที่ไม่พิถีพิถันกับรูปทรงสี่เหลี่ยมตอกตะปูติดอยู่กับเสาไม้ผุๆ   มีเถาวัลย์พันขึ้นมาเป็นพุ่มจนเกือบถึงตัวป้าย  เขาขับรถเลยป้ายหมู่บ้านเข้ามาประมาณกิโลเศษๆ พอเห็นบ้านหลังแรกขวามือปรีชาชลอความเร็วรถลงจนรถเกือบจะหยุดวิ่งเพื่อพิจารณาหามุมมองในการถ่ายภาพบ้านไม้มุงด้วยหญ้าคา ฝาบ้านเป็นไม้หลายขนาดตีตะปูปะไว้อย่างลวกๆไม่มีหน้าต่าง   ใต้ถุนบ้านยกสูงประมาณหนึ่งเมตร ตัวบ้านหันยาวตามถนน หน้าบ้านมีบันไดไม้โย้เย้ สามขั้น บนชานบ้านหน้าประตูมีเสื้อสีดำเก่าๆแขวนอยู่กับเชือกไนล่อนที่มัดระหว่างขอบประตูกับหัวเสาชานบ้าน    หน้าบันไดมีโอ่งดินสีแดงหม่นตั้งอยู่   มองไปรอบๆยังไม่เห็นใครสักคนแต่ก็คงตื่นกันแล้วเพราะมีควันไฟลอยออกมาจากด้านหลังของตัวบ้าน   เจ้าของบ้านคงกำลังหุงหาอาหารสำหรับวันใหม่  พอรถจอดสนิทเขาลดกระจกหน้าต่างรถลงแล้วยกกล้องถ่ายรูปที่เตรียมไว้แล้วขึ้นมาถ่ายภาพบ้านสองสามภาพแล้วขับรถต่อไปอีก   ห่างจากบ้านหลังแรกมาอีกประมาณเจ็ดร้อยเมตรเป็นบ้านหลังที่สองมีลักษณะไม่แตกต่างจากบ้านหลังแรกมากนักเพียงแต่เป็นบ้านปลูกติดดิน  มุงหญ้าคา  ฝาบ้านทำด้วยฟากไม้ไผ่  ไม่มีหน้าต่าง  เขาขับเข้าไปเกือบถึงหน้าบ้าน

“ ป๊า ๆ จอดก่อน จอดๆ ดูซิตายายสองคนนั้นนะ  นั่งผิงไฟอยู่ข้างบ้านแกคงจะหนาว  น่าจะเอาอะไรไปให้แกหน่อย” ภรรยาเขาทักขึ้น
ปรีชาค่อยๆจอดรถข้างทางมองข้ามไปยังบ้านหลังนั้นเห็น   สองตายายนั่งผิงไฟไล่ความหนาวอยู่ข้างบ้าน  ควันไฟที่คลุ้งอยู่บริเวณนั้นทำให้พอมองเห็นได้ลางๆ ว่าทั้งสองนุ่งเสื้อผ้าเก่าสีหม่นๆ นั่งบนขอนไม้งอตัวแนบอกไว้ระหว่างเข่าสองข้างที่ชันขึ้นมา   มีผ้าห่มเก่าๆ ขาดกะรุ่งกะริ่งแทบจะไม่เห็นสีเดิมพาดคลุมไหล่อยู่คนละผืน   ตาไว้ผมทรงนักเรียนที่ไม่ได้ตัดมาเป็นเดือนเห็นหงอกขาวเต็มหัวส่วนยายสวมหมวกไอ้โม่งสีน้ำตาลปอนๆ พับขอบขึ้นไว้บริเวณหน้าผาก  ทั้งสองคนไม่ได้สวมรองเท้า

“ จะเอาอะไรไปให้เขาดีหละ?” เขาถามเชิงปรึกษา
“ เดี๋ยวดูก่อนว่าอะไรหยิบง่าย อาจจะเป็นเสื้อกันหนาว ปลากระป๋องหรือไม่ก็น้ำปลา”
“นั่นแหละเอามาหลายๆอย่าง ยาด้วยก็ได้พวกยาแก้ไข้นะ พารามันก็ดีมันแก้ปวดได้ด้วย”
“ป๊า..ป๊ามาเอาเสื้อออกดีกว่า น้องไม่ถนัดมันอยู่สูง” ภรรยาเขาเรียกขณะที่ยืนเขย่งอยู่บนล้อหลังของรถ   มือก็พยายามปลดเชือกที่รัดกระสอบใส่เสื้อผ้าที่วางไว้บนหลังคารถออก
“ได้ ๆ แล้วน้องไปดูพวกยา น้ำปลา ปลากระป๋องก็แล้วกันเอามาอย่างละนิดละหน่อย”
พอได้ของเสร็จเขาก็ถามลูกๆ ว่าจะข้ามไปกับเขาไหม
“ไปด้วยพ่อ หนูไปด้วย....หนาว.....จะได้ไปผิงไฟ”  เจ้าลูกคนกลางพูดขึ้นเมื่อเห็นกองไฟ ซึ่งปกติอยู่บ้านก็ชอบเล่นไฟอยู่แล้ว  เห็นไฟเช็กไม่ได้เป็นต้องเอาไปเผาอะไรเล่น  พอเห็นว่าลูกจะไปด้วยเขาจึงหันไปพูดกับลูกชายคนโต

“งั้นพี่ชาลีก็เอากล้องถ่ายรูปมาด้วยก็แล้วกัน  จะได้เก็บภาพไว้ดูวันหลัง   เวลาถ่ายก็พยายามให้ได้องค์ประกอบทั้งหมดก่อนแล้วค่อยถ่ายเก็บรายละเอียดอีกที   อย่างอยู่ตรงนี้ถ่ายออกไปก็จะได้เห็นตัวบ้านที่มีตายายนั่งผิงไฟอยู่ข้างบ้าน   พอข้ามถนนไปก็ค่อยเลือกถ่ายเอาว่าจะถ่ายตายายหรือถ่ายพ่อกับแม่หรือถ่ายตอนที่เรานั่งคุยกับตายายกัน   ถ่ายตอนที่เรายื่นของให้เขาด้วยก็จะดีเวลาดูวันหลังจะได้รู้ว่าเรามาทำอะไรกัน ทำได้ไหมครับ?” ปรีชาให้หลักการเล็กน้อย
“ได้ครับพ่อ”
แล้วทั้งหมดก็พากันถือของข้ามถนนไปยังบ้านตายาย   สองตายายมองดูคนแปลกหน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยแต่ก็อ่อนโยนตามฐานะ 

“สวัสดีครับคุณตาคุณยาย” ทุกคนทักตายายพร้อมยกมือไหว้   สองตายายยกมือรับไหว้แทบไม่ทัน
“ผมจะไปบ้านหนุงกี  มีของติดมาด้วย  เลยเอามาฝากตากับยาย  นี่ภรรยาผม” เขาชี้ภรรยาของเขาที่ยืนหอบเสื้อกันหนาวอยู่ในมือ
“นี่จ๊ะ ตาเสื้อกันหนาว  มันไม่ใช่ของใหม่แต่ก็พอกันหนาวได้”
“ขอบใจมากนะ” ตาบอกของใจพร้อมกับรับเสื้อกันหนาวสีเทาผืนใหญ่ไปยัดใว้ระหว่างอกกับขา
“ ยาย  นี่ของยายจ๊ะ  พอดีเลยตัวนี้  มันเป็นของฉันเองแหละฉันให้ยายเอาไว้ใส่กันหนาวนะ” ยายรับเสื้อกันหนาวไหมพรมถักด้วยมือสีชมพูอ่อนไว้ด้วยสายตาที่สงสัย
“ มันยังใหม่อยู่เลย ยายจะใส่ได้เหรอยายแก่แล้ว”
“ ใหม่ๆ อย่างนี้แหละจ๊าดี ยายจะได้ใส่นานๆ ใส่ไปวัดก็ได้”
“แถวนี้ไม่มีวัดหรอกลูก นานๆจะมีพระธุดงค์ผ่านมาที”
“ก็ไม่เป็นไรหรอกจ๊า ยายเก็บไว้ใส่เถอะ”
“ขอบใจมากนะหนู นี่ลูกสามคนเลยเหรอ กำลังโตเลยเนอะ”
“จ๊า แล้วลูกๆ ยายไปไหนกันหมดละ”
“ตากับยายไม่มีลูก ก็อยู่กันสองคนอย่างนี้แหละ”
“ตา..นี่ปลากระป๋อง น้ำปลาแล้วนี่ยาพาราเซตามอลแก้ไข้แก้ปวด  เก็บเอาไว้เผื่อต้องใช้นะครับ  เราต้องเดินทางอีกไกล   นัดกับผู้กองกิตติไว้ เราจะไปก่อนนะ” ปรีชาตัดบท
“อ้าวลูกๆ ลายายกับตากัน เราจะได้เดินทางต่อ”
ชาลีกำลังง่วนอยู่กับการถ่ายรูปมุมต่างๆ โดยมีชาตรีกับชาคริสต์อยู่ใกล้ๆ เหมือนกับจะคอยถามพี่ว่าขอหนูถ่ายมั่ง  พอได้ยินเสียงพ่อเรียกทุกคนก็เดินกลับมาด้วยความรู้สึกเสียดายที่ยังไม่ได้ใช้กล้องถ่ายรูปครบกันทุกคน แล้วทั้งหมดก็ลายายกับตาเดินกลับมาขึ้นรถพร้อมกับคำอวยพรของตากับยายที่ดังตามมา  
ขอให้โชคดี เจริญๆ กันทุกคนนะ

ปรีชาขับรถมาอีหน่อยพอพ้นป่าช้าหมู่บ้านดงแป๊ะรถเลี้ยวซ้ายข้ามสะพานไม้ตามทางมาเรื่อยๆ   เสียงหินก้อนเล็กๆ โดนแรงเหวี่ยงของล้อรถขึ้นมากระทบกับเหล็กตัวรถดังแกร้งๆ...แกร้งๆ.. ให้ได้ยินอยู่ตลอดเวลา
“พี่ชาลี ดูท้ายรถซิ ฝุ่นตลบมองไม่เห็นอะไรเลย”  เจ้าคนกลางเปรือย ขึ้นมาแล้วพูดต่อโดยไม่สนใจคำตอบจากพี่ชาย “พ่อลองเอี๊ยดดูซิ” เขาหมายถึงให้ปรีชาเบรกรถแรงๆเหมือนกับที่เขาเคยขี่รถจักรยานอยู่ที่บ้านแล้วเบรคแรงๆ ให้รถหมุนตัว
“เหรออยากให้พ่อเอี๊ยดเหรอ  แต่ตรงนี้เราเอี๊ยดไม่ได้หรอกลูก อันตรายเพราะเป็นทางลูกรังและรถวิ่งด้วยความเร็วถ้าเราเบรกแรงๆแบบนั้นจะทำให้รถหมุนตัวแล้วน้ำหนักรถบวกกับความเร็วรถทำให้เกิดแรงเหวี่ยงมาก  ถนนลูกรังตรงนี้มันไม่เหมือนถนนราดยางเพราะดินมันไม่เกาะกันมันลื่นมากถ้าไม่ชำนาญจะไม่สามารถควบคุมรถได้รถจะเสียหลักตกข้างทางหรือไม่ก็พลิกคว่ำไปเลย   อีกอย่างหนึ่งเรามากันหลายคนอันตรายมาก   เราต้องคิดถึงความปลอดภัยของทุกคนด้วย” 

ปรีชาพยายามอธิบายและให้เหตุผลในขณะที่ยังขับรถต่อไป
ระยะทาง 23 กิโลเมตรปรีชาใช้เวลาขับรถเกือบชั่วโมง  ถนนบางช่วงเป็นช่องแคบๆ พอรถผ่านได้บางช่วงก็กว้างแต่ก็ต้องโดนกิ่งไม้เล็กๆ ที่ยื่นล้ำแนวถนนออกมาครูดตัวรถเสียงดังเอี๊ยดๆเป็นระยะๆ  สองข้างทางซ้ายขวาเป็นหุบเหวสลับกับเนินเขา   มองออกไปไกลๆ เห็นภูเขาน้อยใหญ่ซ้อนกันลดหลั่นอย่างลงตัว   ต้นไม้บางต้นสลัดใบเผยให้เห็นโครงสร้างของมันแต่ส่วนใหญ่ยังคงมีใบค้างต้นทั้งสีเขียวสีเหลืองสีแดงสีน้ำตาลสลับกันไป  ดูแล้วช่างเป็นภาพที่สวยงามราวกับวินเซน ฟางก๊อก จิตรกรหูเดียวชาวดัชมาวาดไว้

“โอ้..โน่นไงด่านทหาร”ปรีชาเปรยขึ้นมาทันทีที่เห็นด่านทหาร
พอรถเข้าใกล้ด่านที่มีคานไม้สีขาวสลับแดงพันด้วยลวดหนามกั้นถนนอยู่เขาลดความเร็วรถลงจอดตรงหน้าซุ้มรักษาการณ์  ขณะที่ปรีชาลดกระจกรถลง  พลทหารรักษาการณ์นายหนึ่งสะพายปืนSK.33 เดินเข้ามาหาแล้วยืนตรงชิดเท้าทำความเคารพตามธรรมเนียมทหาร   เสียงส้นรองเท้าคอมแบ็ทกระทบกันดัง...กลัก....

“สวัสดีครับ อาจารย์ปรีชาใช่ไหมครับ?” กระฉับกระเฉงสมกับเป็นรั้วของชาติ ปรีชายกมือไหว้ตอบ
“ครับผมปรีชากับครอบครัว กำลังจะไปหาผู้กองกิตติที่บ้านหนุงกี”
“ครับ...ท่านวอมาสั่งไว้ตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้วครับว่าวันนี้อาจารย์จะผ่านมา   เมื่อกี้ท่านก็ยังวอมาถามอีกว่าอาจารย์มาถึงรึยัง   ทางไปข้างหน้ายากหน่อยนะครับ  จากตรงนี้ไปอีกเจ็ดโลจะเป็นทางหักศอกขวา ชันหน่อยนะครับ  แต่รถอาจารย์ขึ้นได้ไม่มีปัญหาเพราะเป็นรถโฟวิล ถ้าเป็นรถธรรมดาจะยากหน่อย   เชิญครับเดี๋ยวผมจะวอไปเรียนให้ท่านผู้กองทราบครับ” ทหารนายนั้นก็ยกมือขึ้นต๊ะเบะ  ชิดเท้าเสียงดังกลักอีกครั้ง  แล้วหันไปมองเพื่อนอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในซุ้มเป็นการส่งสัญญาณว่าให้ปลดเชือกรั้งปล่อยคานกั้นถนนขึ้น

“ ครับ...ขอบคุณครับ” ปรีชายกมือขึ้นแสดงความขอบคุณและส่งสายตาทักทายกับทหารอีกนายหนึ่งที่นั่งสังเกตการณ์อยู่เงียบๆในซุ้มให้รู้ว่าเขาจะออกรถแล้วปล่อยเชือกให้คานไม้ยกขึ้นได้
พอรถออกตัวมา
“พ่อ เขารู้จักชื่อพ่อได้ยังไง พ่อรู้จักเขาเหรอ?” ลูกชายคนโตร้องถามด้วยความรู้สึกแปลกใจที่เห็นทหารคนนั้นเรียกชื่อพ่อของตนได้อย่างถูกต้อง
“ พ่อไม่เคยรู้จักเขาหรอกลูก   แต่ผู้กองกิตติที่พ่อติดต่อด้วยคงจะบอกเขาว่าพ่อเป็นใคร จะผ่านมาเมื่อใด  แถวนี้ไม่ค่อยมีรถใครผ่านและอีกอย่างคนที่อยู่บริเวณนี้เขาก็จะรู้จักกันดีว่าใครเป็นใคร จึงไม่แปลกที่เขาจะทักคนแปลกหน้าอย่างพ่อได้ถูกเพราะเราน่าจะเป็นรถคันเดียวที่ผ่านเข้ามาเช้านี้”
“แล้วทำไมเขาต้องมีซุ้มทหารอยู่แถวนี้ด้วยละพ่อ”
“แถวนี้เป็นบริเวณที่ใกล้กับเขตติดต่อประเทศพม่า  เขาต้องมีทหารอยู่ก็เพราะบางทีก็มีการสู้รบกันฝั่งโน้นแล้วคนพม่าก็หนีเข้ามาแอบอยู่ทางฝั่งเราอย่างผิดกฎหมาย  หรือไม่ก็บางทีคนทางฝั่งโน้นที่ยากจนกว่าทางบ้านเราแอบเข้ามาปล้นหรือทำร้ายชาวบ้านเพื่อแย่งเอาของไปกินไปใช้   แต่ก็มีอีกอย่างหนึ่งที่ร้ายแรงมากก็คือพวกพ่อค้ายาเสพติดอาจจะใช้เส้นทางนี้ลำเลียงยาเสพติดข้ามมาจากประเทศพม่าก็ได้ถ้าไม่มีทหารเฝ้าอยู่ มันอันตรายนะลูก  ยาเสพติดเนี่ย อันตรายต่อทั้งคนเสพที่ต้องตกเป็นทาสของมัน    เวลาเสพแล้วจะติดคืออยากเสพอีกต้องไปหามาเสพอยู่เรื่อยๆ มันทำให้สุขภาพทรุดโทรม สมองเสื่อม โง่ ขี้เกียจ ไม่ทำงาน  พอไม่มีเงินไปซื้อก็ทำตัวเป็นขโมยเป็นโจรลักของชาวบ้านไปขายแล้วก็ถูกตำรวจจับติดคุก   รัฐบาลก็ต้องเสียเงินปราบปราม  เสียเงินเลี้ยงคนคุก  เสียเงินรักษาคนติดยาเสพติด  มันหลายอย่างลูก  พวกคนขายแม้ว่าจะได้เงินไปใช้แต่ก็เป็นเงินนอกระบบที่หมุนเวียนอยู่ในวงการยาเสพติดที่มีต้นทางอยู่ในประเทศอื่นและเงินเหล่านั้นก็จะถูกส่งออกไปนอกประเทศทำให้ประเทศชาติของเราขาดแคลนเงินตราและคนที่ได้เงินเหล่านั้นไปซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยก็จะเอาไปซื้ออาวุธสงครามเพื่อสู้รบกับทหารรัฐบาลของพวกเขาและบางทีก็สู้รบกับทหารของเราด้วย   สรุปก็คือไม่ดีทั้งนั้นถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับยาเสพติด พ่อหวังว่าโตมาลูกคงไม่ยุ่งกับมันนะ”
“ครับพ่อหนูไม่ยุ่งกับมันอยู่แล้ว คุณครูที่โรงเรียนก็บอกมาว่าอย่าไปยุ่งกับมัน มันทำให้คนเสพตาย คนขายติดคุก”
“ดีแล้วลูก พ่อจะได้สบายใจ หนูนั่งให้ดีนะลูก รัดเข็มขัดอยู่ใช่ไหม ทางแถวนี้มันไม่ค่อยดี  เดี๋ยวข้างหน้าก็จะเป็นทางเลี้ยวหักศอก  พ่ออาจจะต้องเลี้ยวรถเร็วถ้ามันชันมาก   รถต้องใช้กำลังส่งมาก อาจจะมีแรงเหวี่ยง  น้องๆก็รัดเข็มขัดกันทุกคนใช่ไหม”
“ครับพ่อรัดกันทุกคน”
“แต่ไม่ต้องกลัวหรอกพ่อจะขับด้วยความระมัดระวัง  ดูแม่หนูซิหลับไปอีกแล้ว ”
“อาราย...ไม่ได้หลับ ฟังอยู่...แค่หลับตาเฉยๆ”
“อ๋อ..นึกว่าหลับ เห็นนิ่งๆ อย่างที่วัยรุ่นเขาว่ากันว่า  นิ่งเป็นหลับ ขยับเป็น....อะไรนะ...” ไม่มีเสียงตอบ

พอก่อนถึงทางเลี้ยวหักศอก  ปรีชาชะลอความเร็วรถลงตามจังหวะ เปลี่ยนเกียร์ลงมาที่เกียร์สี่ สาม สองและหนึ่งแล้วเร่งเครื่องส่งให้รถเคลื่อนไปข้างหน้า  เสียงเครื่องยนต์คำรามลั่น  ทุกคนต่างก็ส่งใจช่วยให้ปรีชาพารถผ่านโค้งหักศอกและพ้นเนินเขานี้ขึ้นไปให้ได้  เนินเขาสูงและชันมาก รถของปรีชาบรรทุกสัมภาระมาเต็มคันและมีน้ำหนักมากอย่างนี้จึงทำให้เครื่องยนต์ต้องทำงานหนัก ขณะที่เร่งเครื่องขึ้นเนินเขานั้นปรีชาก็ชำเลืองดูเข็มวัดระดับความร้อนอยู่เรื่อยๆเพราะเป็นห่วงว่าเครื่องยนต์อาจร้อนเกิน   จนทำให้เกิดความเสียหายได้   แต่โชคดีที่เป็นช่วงสิ้นปีอากาศค่อนข้างเย็นทำให้เครื่องยนต์ไม่ร้อนมาก พอรถขึ้นมาได้ครึ่งเนินเขาก็ปิดสวิทซ์ควบคุมแอร์เพื่อให้เครื่องยนต์ส่งกำลังฉุดรถได้ดีขึ้น

“พ่อ หนูหูอื้อแล้วพ่อ” ลูกชายคนเล็กร้องบอกเขา
“เรากำลังขับรถขึ้นที่สูงความกดอากาศข้างบนนี้ต่ำ   ร่างกายของเราปรับไม่ทันมันจึงเกิดอาการหูอื้อ  ถ้าหนูกลืนน้ำลายหรือไม่ก็ปิดจมูกไว้แล้วเบ่งลมหายใจออกทางจมูกแรงๆทำให้เกิดมีแรงดันในช่องหูมากกว่าข้างนอกแก้วหูก็จะคืนตัวมาอยู่ในสภาพปกติก็จะช่วยให้อาการหูอื้อหายไปได้ลูก  อาการนี้เกิดขึ้นได้กับทุกคนเหมือนกับตอนอยู่ในเครื่องบินที่กำลังบินขึ้นหรือบินลง  แต่พอมันลอยอยู่บนท้องฟ้าแล้วร่างกายของเราก็ปรับสภาพได้อาการหูอื้อก็จะหายไป”
เจ้าลูกชายคนเล็กบีบจมูกตัวเองพยายามทำตามที่พ่อบอก 

“ดูข้างนอกโน่นซิลูก” ปรีชาเบี่ยงเบนความสนใจของลูก “ใบไม้หลากสี ช่วงนี้เป็นช่วงหน้าหนาวอากาศค่อนข้างแห้ง ต้นไม้ต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพภูมิอากาศ  มันกำลังผลัดใบคือพยายามทิ้งใบเก่าใบแก่ออกให้หมดเพื่อป้องกันไม่ให้มีการคายน้ำในตัวของมันออกมามากเกินไป หากต้นไม้เสียน้ำมากมันก็จะตาย   ปกติต้นไม้จะดูดสารอาหารและน้ำขึ้นมาจากดินโดยทางรากของมัน  เพื่อเอาเลี้ยงลำต้นและใบ  ในขบวนการเผาผลาญอาหารต้นไม้มันจะทำที่ใบที่มีคลอโลฟิลสีเขียวคอยสังเคราะห์แสงมาใช้ในการปรุงอาหารและมันก็จะสูญเสียน้ำไปในกระบวนการนี้  การสลัดใบของมันทิ้งก็เท่ากับมันไม่ต้องการให้เกิดกระบวนการสังเคราะห์แสงในตัวมันมาก  มันพยายามที่จะใช้อาหารให้น้อยที่สุด   เหมือนมันกำลังจำศีลแบบกบจำศีลไง   ทั้งต้นไม้และกบต่างก็มีวัตถุประสงค์เดียวกันคือรักษาชีวิตให้รอดจากการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติซึ่งต้นไม้บางชนิดอาจจะใช้เวลาไปจนถึงเข้าฤดูฝนบางชนิดก็แค่หมดหน้าหนาว  พอพ้นช่วงนี้ไปมันก็จะแตกใบออกมาใหม่เมื่อมีความชื้นและอุณหภูมิที่เหมาะสม ตอนนี้มันผลัดใบ บางใบที่แห้งมากก็เป็นสีน้ำตาล  บางใบก็กำลังเหลือง  บางใบก็เป็นสีแดง ส่วนใบที่ยังไม่แห้งก็คงสีเขียวอยู่   ทำให้ป่าทั้งป่าเต็มไปด้วยสีสัน   คนชอบเข้ามาดูความสวยงามของป่าไม้ในยามนี้  ช่วงเวลานี้แหละที่ฝรั่งเขาเรียกว่าฤดูใบไม้ร่วง  มันจะเริ่มตั้งแต่ต้นฤดูหนาว พอถึงฤดูหนาวก็เป็นฤดูที่ต้นไม้จำศีล  พอหมดฤดูหนาวอากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นต้นไม้ก็จะผลิใบใหม่ออกมาเรียกฤดูใบไม้ผลิ   และเติบโตเต็มที่ก็ตอนฤดูร้อนต่อไปถึงฤดูฝนขึ้นอยู่กับแต่ละพันธุ์ว่าต้นไม้พันธุ์ไหนชอบอากาศอย่างไร  พอมันสมบูรณ์เต็มที่มันก็จะมีทั้งดอกทั้งผลออกมา ขบวนการผลิดอกออกผลของต้นไม้ก็คือขบวนการสืบทอดเผ่าพันธุ์ของมันเองเพราะผลที่แก่ก็จะร่วงลงดินถูกสัตว์ถูกนกกิน สัตว์เหล่านั้นเมื่อกินผลไม้เสร็จแล้วมันก็เดินทางไปที่ต่างๆโดยเฉพาะนกพอมันขับถ่ายออกมาเมล็ดพืชเหล่านั้นตกดินที่ไหนก็จะงอกขึ้นมาเป็นต้นใหม่ที่นั้น แต่พ่อก็ไม่แน่ใจว่ามันจะงอกได้หมดหรือไม่เพราะขบวนการย่อยอาหารในตัวสัตว์เหล่านั้นโดยเฉพาะในกระเพาะอาหารของสัตว์ใหญ่อย่างช้าง  หมูป่าน่าจะมีอุณหภูมิที่สูง  และมีกรดที่เข้มข้น  เมล็ดพืชเหล่านี้อาจจะทนไม่ได้และเสื่อมสลายไปแต่ก็มีอีกความเป็นไปได้หนึ่งคือเมล็ดพืชเหล่านั้นอาจจะมีเปลือกหุ้มเมล็ดที่หนาและแข็งทนทานต่อการถูกทำลาย   หรือไม่บางทีมันอาจจะติดปีกติดขนไปขณะที่มันมากินมานอนเกลือกกลิ้งอยู่ตามพื้นดินนั้นก็ได้  พอไปที่อื่นพวกเมล็ดเหล่านั้นก็จะร่วงหล่นตามพื้นงอกขึ้นมาเป็นต้นใหม่ในที่ห่างไกลออกไปก็ได้  นี่เป็นอีกอย่างหนึ่งที่เขาเรียกว่าธรรมชาติมันสร้างความสมดุลในตัวมันเอง  พอจะมองเห็นภาพไหมลูก”
“ครับพ่อ แล้วแถวบ้านเราทำไมไม่มีสี่ฤดูเหมือนทางฝรั่งเขาหละพ่อ” ลูกชายคนโตยังไม่หมดความสงสัยเรื่องฤดูกาล

“ฮู้!..” ปรีชาร้องออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อพารถพ้นเนินเขาขึ้นมาได้ด้วยความปลอดภัย แต่ก็ไม่วายต้องระวังตัวอีกเพราะทีนี้เป็นขาลงทางค่อนข้างชันเช่นกัน   เขาต้องคอยประคองรถให้มีความเร็วพอดีๆ ไม่พยายามใช้เบรกให้มากนักหากเบรกร้อนขึ้นมาผ้าเบรกก็จะไหม้ได้ หรือถ้าหากเบรกแรงๆในขณะที่รถวิ่งลงอาจจะเกิดอาการล้อล๊อคเสียการทรงตัวได้ง่ายโดยเฉพาะการวิ่งบนถนนดินลูกรังที่ผิวถนนแตกร่วนไม่เหมือนถนนปูนหรือถนนราดยางที่พื้นผิวถนนเกาะกันแน่นกว่า เขาจึงหันมาใช้เกียร์ต่ำเพื่ออาศัยรอบเครื่องยนต์ให้เป็นตัวฉุดรถไว้ไม่ให้เคลื่อนที่เร็วเกินซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดแม้ว่าจะมีเสียงดังจากการคำรามของรอบเครื่องยนต์ที่มากกว่าการขับปกติก็ตาม 

“อะไรนะลูก?”เขาถามคำถามซ้ำเพราะได้ยินไม่ชัดเนื่องจากเครื่องยนต์มีเสียงดังและเกิดหูอื้อขึ้นมา
“ลูกถามว่าแล้วทำไมบ้านเราถึงไม่มีสี่ฤดู” ภรรยาเขาช่วยทวนคำถาม
“ที่บ้านเราไม่มีสี่ฤดูก็เพราะว่า  ประเทศไทยของเราตั้งอยู่เหนือเส้นศูนย์สูตร หรือที่เรียกว่า อิควาเตอร์  ขึ้นมาเพียงหกองศาถ้านับจากภาคใต้ขึ้นมาจึงทำให้ภาคใต้มีอากาศค่อนข้างร้อนแต่โชคดีที่มีทะเลขนาบทั้งสองข้างทำให้ฝนตกเกือบตลอดปีที่เขาเรียกกันว่า “ฝนแปดแดดสี่ไง” ฝนแปดคือมีฝนตกประมาณ แปดเดือน ช่วงฝนตกก็ไม่ค่อยเห็นแสงแดดแต่พอฤดูฝนหายไปท้องฟ้าไม่ค่อยมีเมฆก็จะมีแสงแดดมากในช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนมีนาคม ช่วงนี้แหละจะเป็นช่วงอากาศร้อนของภาคใต้  จะว่าไปแล้วภาคใต้ของเรามีเพียงสองฤดูคือฤดูฝนกับฤดูร้อนแต่ในช่วงฤดูฝนของทางภาคใต้อากาศก็จะเย็นสบายดี   ตรงที่เราอยู่นี้เป็นช่วงตอนบนของภาคใต้และเป็นภูเขาสูงอากาศเย็นสบายฝนตกไม่มากเหมือนทางใต้ๆโน้น   จึงยังพอได้ไอเย็นของฤดูหนาวบ้าง  กรุงเทพฯหรือภาคกลางจะตั้งอยู่บริเวณละติจูดที่สิบสี่   แม้ว่าจะอยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรขึ้นมาบ้างแต่ก็ยังไม่ได้รับอิทธิพลของความเย็นเพราะเป็นบริเวณที่ราบซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลขึ้นมาเพียงเมตรเดียวเท่านั้นและกรุงเทพฯมีคนอยู่หนาแน่น  ประกอบกับมีโรงงานต่างๆมากมาย   รถราก็พ่นไอเสียและไอความร้อนออกมามาก   การถ่ายเทของอากาศไม่สะดวก  ช่วงกลางวันมีแดดร้อนสิ่งต่างๆดูดซับความร้อนไว้มากและถ่ายเทออกไม่ทันในเวลากลางคืน  เมื่อเป็นอย่างนี้จึงทำให้กรุงเทพฯมีอากาศอบอ้าวอยู่ตลอดเวลา  ไม่เหมือนกับทางภาคเหนือแถวบ้านปู่กับย่า  ตรงนั้นเป็นบริเวณที่อยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรขึ้นไปมากคืออยู่ประมาณละติจูตที่สิบแปดและเป็นที่ราบสูงอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณสามร้อยเมตรเลยทำให้มีอากาศค่อนข้างเย็นในช่วงฤดูหนาว   ทางเหนือมีสามฤดูยิ่งเหนือขึ้นไปอีกแถวเชียงใหม่  เชียงรายหรือแม่ฮ่องสอนก็ยิ่งมีช่วงอากาศเย็นนานกว่า แต่แถวบ้านปู่กับย่าก็เย็นมากแล้วถ้าหนูจำได้ตอนเช้าตื่นขึ้นมาเราเหยียบพื้นไม้ในบ้านแทบจะไม่ได้เลยต้องใส่ถุงเท้าเพราะมันเย็นหรือไม่ก็บางวันพอถึงสี่โมงเย็นเราต้องรีบอาบน้ำกันแล้ว   ตอนที่พ่อเป็นเด็กไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่นแบบใช้ไฟฟ้าอย่างทุกวันนี้  พ่อต้องรีบอาบน้ำทันทีที่กลับมาจากโรงเรียนแต่ถ้าวันไหนหนาวมากปู่กับย่าก็จะต้มน้ำแล้วเอามาผสมกับน้ำเย็นให้พออุ่นก็อาบได้  ทางภาคอีสานภูมิประเทศจะตั้งอยู่ประมาณกึ่งกลางระหว่างภาคกลางกับภาคเหนืออากาศจึงไม่เย็นมากนอกจากบนเขาหรือที่ๆเรียกว่าบนภูสูงจึงจะมีอากาศเย็นมากๆเช่นภูหลวง ภูเรือ ภูกระดึงและเขาใหญ่  พอจะมองเห็นภาพความแตกต่างของแต่ละพื้นที่ไหมลูก”
“เราใกล้จะถึงจุดหมายปลายทางแล้ว  ข้างหน้ามีด่านทหารเดี๋ยวพ่อต้องจอดทักทายเขาก่อน” ปรีชาขับรถเข้าไปจอดเทียบหน้าป้อมรักษาการณ์พร้อมกับลดกระจกรถลงอีกครั้งหนึ่ง

“สวัสดีครับ ผมจะเข้าไปพบผู้กองกิตติครับ” ก่อนที่ปรีชาจะพูดอะไรต่อทหารรักษาการณ์คนนั้นก็ตบเท้าเข้าหากันเสียงรองเท้าคอมแบ็ต กระทบกันดัง “กลัก” พร้อมกับยกมือขึ้นทำท่า วันทยาหัตถ์ เป็นการแสดงความเคารพตามแบบฉบับของทหาร 
“สวัสดีครับ อาจารย์ปรีชาใช่ไหมครับ ผู้กองรออยู่ที่โรงเรียนด้านบน ผมจะนำทางไปครับ”
หลังจากทักทายกันเสร็จพลทหารคนนั้นก็วิ่งไปควบรถมอเตอร์ไซค์ที่มีแต่ไฟหน้าไม่มีไฟท้าย  ไม่มีไฟเลี้ยว   เสียงคันสตาร์ทกระทบกับเหล็กพักเท้าดังแต็กๆ..สองสามทีเครื่องก็ติดพ่นควันขาวออกมาทางท่อไอเสียเหมือนเมฆลอยเรี่ยผิวดินเต็มไปหมด  พลทหารคนนั้นหันมาทางปรีชา
“เชิญตามผมมาครับท่าน” แล้วขับรถนำออกหน้าไป 
ปรีชาขับรถตามไปห่างๆ เพื่อเลี่ยงควันรถที่พวยพุ่งออกมาในขณะที่ทหารคนนั้นรีบบึ่งไปด้วยความกระตือรือร้นและเผื่อไว้ว่าหากรถมอเตอร์ไซค์เกิดเสียหลักล้มลงเขาก็จะหยุดรถได้ทันเพราะดูสภาพรถแล้วมันไม่น่าวิ่งได้ 

ปรีชาขับรถตามมอเตอร์ไซค์คันนั้นเลี้ยวซ้าย   เลี้ยวขวาไปตามทางลูกรังประมาณห้าร้อยเมตรก็เห็นอาคารซึ่งจะเรียกว่าอาคารก็ไม่ค่อยเต็มปากนักเพราะเป็นอะไรหละ  เหมือนบ้านหรือก็ไม่ใช่  เพิงหรือก็ไม่เชิงเพราะปลูกติดดิน  มีผนังสูงประมาณเอว   เหนือขึ้นไปเปิดโล่งมีทางเข้า-ออกสองทาง  พอรถเข้าไปใกล้อาคารประมาณร้อยเมตร เด็กๆประมาณยี่สิบคนที่เล่นอยู่แถวนั้น  ต่างก็วิ่งกรูกันมาหยุดยืนอยู่บริเวณเสาธง   สายตาทุกคู่จ้องมาที่รถของปรีชา   แต่ในความเป็นจริงแล้วสายตาเหล่านั้นคงจะจับจ้องมาที่กองสัมภาระบนหลังคารถมากกว่าที่จะดูว่าคนที่มาในรถนั้นเป็นใครหรือรถยี่ห้ออะไร   ด้านหน้าอาคารมีผู้ใหญ่วัยกลางคนทั้งผู้หญิงผู้ชายประมาณสิบกว่าคนนั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่ใต้ต้นหูกวางต่างก็หันมามองที่รถของปรีชาเช่นกัน ปรีชาขับรถเข้าไปจอดช้าๆที่หน้าเสาธงห่างจากกลุ่มเด็กๆประมาณสิบกว่าเมตรเพื่อไม่ให้ฝุ่นฟุ้งขึ้นมาเข้าหน้าเข้าตาเด็กๆ  เจ้าตัวเล็กคนหนึ่งกล้าๆกลัวๆยืนเกาะไหล่เพื่อนหลบอยู่ด้านหลังโผล่หัวออกมาดูนิดหน่อยแล้วก็หลบไป  มีคนหนึ่งเป็นหวัดน้ำมูกไหลออกมาเป็นทางแก้มด้านขวามีคราบน้ำมูกขาวๆที่เอาหลังมือปาดไปแห้งติดอยู่  ส่วนใหญ่เป็นเด็กผู้ชายแต่ก็มีเด็กผู้หญิงปนอยู่ด้วยสองสามคน   เด็กชายบางคนสวมกางเกงวอร์มบางคนสวมกางเกงผ้าฝ้ายทอมือสีดำทรงเป้ายานประจำเผ่าสวมเสื้อยืดสีหม่นๆและทับด้วยเสื้อตัวหนาๆไว้กันหนาวอีกชั้นหนึ่ง ที่เรียกว่าเสื้อตัวหนาๆเพราะดูแล้วไม่ใช้เสื้อกันหนาวอย่างทั่วไปเพราะบางคนสวมเสื้อเชิร์ตผู้ใหญ่ที่พอใส่แล้วไม่ต้องใส่กางเกงก็ได้ถ้าติดกระดุมทุกเม็ดก็มองไม่เห็นกระจู๋ที่อยู่ข้างใน   เด็กผู้หญิงจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ดูดีกว่าเด็กผู้ชาย   คือสวมผ้าถุงที่ตัดด้วยผ้าฝ้ายผ้าพื้นสีดำปักลายชนเผ่าที่ชายผ้าถุง  ส่วนเสื้อนั้นเป็นเสื้อแขนกระ บอกตัดเย็บด้วยผ้าแพรสีพื้นบางคนก็เป็นสีชมพูบางคนก็เป็นสีฟ้าและคาดทับด้วยสะไบหลากสี  ทั้งเด็กหญิงและเด็กชายต่างก็ไว้ผมยาวไม่ไม่มีใครตัดผมทรงนักเรียนเหมือนเด็กในเมือง 

พอรถจอดสนิท  ผู้กองกิตติก็เดินออกมาจากอาคารเรียนพร้อมด้วยผู้ติดตามอีกสองคน   แล้วทั้งสามคนก็มาหยุดยืนอยู่บริเวณเสาธงรวมกับเด็กๆและชาวบ้าน
“ เราลงไปกันได้แล้วลูก” ปรีชาหันไปพูดกับลูกๆของเขา  ก่อนที่ทุกคนจะลงจากรถ  แล้วเดินเข้าไปที่ผู้กองกิตติยืนอยู่
“ สวัสดีครับ อาจารย์” ผู้กองกิตติในชุดซาฟารีสีเขียวทหาร  กับทหารคนสนิทอีกสองคนที่อยู่ด้านหลังกระพุ่มมือขึ้นกล่าวคำทักทาย ปรีชาก็กระพุ่มมือขึ้นรับคำทักทายด้วยไมตรี
“สวัสดีครับ นี่ภรรยาผม คุณราตรีและลูกๆ” ปรีชากล่าวแนะนำครอบครัวของเขา
“ ลูกชายทั้งสามเลยหรือครับ”
“ครับ ลูกชายหมดเลยครับ”
“แล้วไม่มีผู้หญิงอีกสักคนหรือครับ”
“แรกๆ ก็อยากมีหรอกครับ  พยายามจนออกมาเป็นผู้ชายทั้งสามคน พยายามอีกก็คงเป็นผู้ชายอีกแหละครับ  ผมเลยตัดสินใจปิดโรงงาน แล้วผู้กองมีลูกไหมครับ ”
“อย่าว่าแต่ลูกเลยอาจารย์  ผมใช้ชีวิตอยู่แต่ในป่า   นี่ก็ปาเข้าไปปีที่15แล้ว   แม้แต่ภรรยาผมก็ยังหาไม่ได้เลยครับ  ตอนเข้ามาใหม่ๆก็มีครูอาสาเข้ามาช่วยสอนเด็กๆอยู่บ้าง  ทีแรกผมก็เล็งๆเหมือนกันแต่เขามาอยู่ไม่นานเพราะทนสภาพความกันดารไม่ไหวเลยออกไปอยู่ที่อื่น ตอนหลังนี้ก็ไม่มีใครเข้ามาเลย แล้วตัวผมเองก็ชอบอยู่ป่าอยู่กับธรรมชาติ   นานๆจะเข้าไปในเมืองทีก็เลยไม่มีโอกาสกับเขา   ตอนนี้ผมก็ปลงแล้วครับ   อาศัยเลี้ยงลูกชาวบ้านเขาแทน   เฉพาะที่นี้ก็เกือบสามสิบคนแล้วครับ” ผู้กองกิตติเล่าถึงความหลังโดยที่ไม่รู้สึกอะไรมากนักกับการที่ไม่มีภรรยา
“เชิญอาจารย์ข้างในครับ คุณนายกับหลานๆด้วยนะครับ” 
ผู้กองกิตติตัดบทด้วยการเชิญแขกของเขาเข้าไปนั่งพักในอาคารเรียน  ปรีชาหันไปมองลูกๆและภรรยาของเขา   ซึ่งเขาสังเกตเห็นสายตาของภรรยาที่บ่งบอกถึงความรู้สึกแปลกที่ถูกทักว่าเป็นคุณนาย  ซึ่งถือว่าเป็นการให้เกียรติจากผู้กองเป็นอย่างมาก  โดยทั่วไปคนที่จะถูกเรียกว่าคุณนายนั้นมักจะเป็นภรรยาของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เช่นผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ปลัด นายตำรวจหรือนายทหาร  การที่ผู้กองใช้สรรพนามแทนตัวภรรยาของปรีชาเช่นนี้เท่ากับว่าเป็นการให้เกียรติปรีชาเป็นอย่างมากแม้ว่าปรีชาจะไม่ได้สังกัดหน่วยงานใดๆที่เป็นองค์กรของรัฐ  ทว่าเขามักจะได้รับการเชิญให้เป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อต่างๆให้กับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนอยู่เป็นประจำ   เขาจึงถูกคนทั่วไปเรียกว่าอาจารย์ซึ่งเขาก็มีความยินดีที่ถูกเรียกเช่นนี้
“ เชิญทานข้าวกันก่อนนะครับ   วันนี้เหม่ยเขาทำแกงหมูผมเรียกมันว่าแกงฮังเลเพราะรสชาติมันเหมือนแกงฮังเลของทางภาคเหนือ   ไก่ต้มสูตรมอญและไข่เจียวไว้เผื่อเด็กๆครับ   ผมไม่ทราบว่ารสชาติจะถูกปากอาจารย์หรือไม่ ”
“ ไม่ถูกปากแล้วจะกินยังไงละครับ” เจ้าลูกชายคนกลางของปรีชาสอดขึ้นมา  ทำให้ทุกคนหัวเราะไปตามๆกัน
“เออ จริงของหลาน หัวเร็วนี่เรา ชื่ออะไรครับ”   ผู้กองหันมาพูดกับลูกชายคนกลางของปรีชาพร้อมกับเอื้อมมือมาตบไหล่ของเขาเบาๆ ด้วยความเป็นกันเอง
“ชื่อชาตรีครับ แล้วเหม่ยนี่เป็นใครครับ ”
“ เหม่ยเป็นภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านที่นี่   แล้วอยากจะรู้อีกใช่ไหมว่าหัวหน้าหมู่บ้านซื่ออะไร” ผู้กองกระเซ้าเด็กน้อย   แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบเป็นคำพูดเพียงแต่เป็นการพยักหน้าแทน
“หัวหน้าหมู่บ้านที่นี่เขาชื่อ ภูผา จริงๆแล้วเขาชื่อปู้ซา ตอนนี้เขาไม่อยู่ เขาข้ามไปฝั่งโน้น” ผู้กองหันหน้ามองไปทางแนวเขาที่อยู่ด้านหลัง “เขาไปเยี่ยมพ่อของเขาที่ไม่สบายอยู่ฝั่งโน้น”
“แล้วทำไมเหม่ยเขาไม่ไปด้วยละครับ”
“เขาต้องดูแลลูกๆอยู่ทางนี้และหนทางที่จะไปมันก็ไม่ค่อยดี  ต้องเดินเท้าไป   ข้ามภูเขาไปหลายลูกกว่าจะถึงต้องใช้เวลาเกือบสี่วันกลางคืนต้องนอนบนต้นไม้และการที่จะกลับมาอีกนั้นก็ยากเพราะแถวนั้นเป็นเขตปกครองของทหารพม่า   เขาเข้มงวดมากเรื่องคนเข้าคนออก และอีกอย่างหนึ่งที่นั่นยากจนมากไม่เหมือนทางบ้านเรา   พวกเขาไม่อยากอยู่ที่นั่น   ภูผาไปที่โน่นเขาก็ไม่ได้หวังว่าพ่อเขาจะหายป่วยหรือช่วยอะไรได้หรอก  ที่นั่นไม่มียารักษาดีๆเหมือนทางบ้านเรา พวกเขาใช้สมุนไพรในการรักษาโรคกัน  บางโรคก็รักษาไม่หายอย่างเช่นมาลาเรีย  หากใครเป็นแล้วก็ต้องตายทุกคน  พ่อของภูผาก็คงจะเป็นมาลาเรียนั่นแหละ   แม้ว่าจะช่วยอะไรไม่ได้เขาก็อยากไปเพราะเขาอยากจะไปเห็นหน้าพ่อของเขาและไปให้กำลังใจพ่อเขาแต่บางทีก็อาจจะเป็นการไปร่วมทำบุญศพให้กับพ่อของเขาก็ได้”
“แล้วคุณลุงรู้ได้อย่างไรครับว่าพ่อเขาต้องตาย”
“ ภูผา เขาบอกกับลุงก่อนที่เขาจะออกเดินทาง”
“ แล้วเขาจะกลับออกมาได้อีกไหมครับ”
“เรื่องนี้ก็ต้องแล้วแต่ดวงและความสามารถของเขา  ไม่มีใครให้คำตอบได้”
“ถ้าเขากลับมาไม่ได้แล้วลูกกับเมียของเขาจะอยู่อย่างไรละครับ” น้องชาตรีถามต่อไปด้วยความรู้สึกอยากรู้ตามประสาเด็ก
“นั่นคือปัญหาที่ต้องช่วยกันแก้ไขต่อไป   ตอนนี้ลุงยังไม่รู้แต่ก็ภาวนาให้เขาโชคดีกลับมาได้อย่างปลอดภัย   และอีกอย่างหนึ่งลูกๆของเขาก็ยังเล็กอยู่  คนหนึ่งเป็นผู้ชายอายุแปดขวบ  วิ่งเล่นอยู่แถวนี้แหละชื่อว่าเมฆ  อีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิงยังเล็กอยู่อายุประมาณขวบครึ่งชื่อแววดาว  ตอนนี้คงอยู่กับแม่ของเขาแหละ”
“ทานข้าวเถอะลูกเดี๋ยวเราจะได้ไปเอาของลงมาแจกชาวบ้านกับเด็กๆกัน” ปรีชาตัดบท
“ไม่เป็นไรครับอาจารย์   เดี๋ยวผมจะให้ลูกน้องไปช่วยยก   ของทั้งหมดอยู่บนหลังคารถใช่ไหมครับ ”
“ มีบางส่วนอยู่ในรถ   พวกยาสามัญประจำบ้านและอาหารแห้ง  ส่วนที่อยู่บนหลังคาผู้กองให้ลูกน้องยกลงเลยก็ได้ครับ”
ผู้กองกิตติหันไปเรียกลูกน้องเข้ามาหาแล้วบอกให้ไปช่วยกันยกของลงจากรถ “ เอาไปวางไว้ที่โต๊ะข้างเวที   ค่อยๆยกลงอย่าให้มีอะไรเสียหายนะหมู่”
“ ผู้กองครับให้เขาแยกเลยก็ดีครับ   ในถุงสีดำเป็นของผู้ใหญ่ส่วนถุงสีน้ำเงินเป็นของเด็ก  แต่ผมไม่ได้แยกของผู้หญิงผู้ชาย   คิดว่าถ้าใส่ไม่ได้ก็ให้เขาแลกกันเองทีหลังน่าจะได้นะครับ”
“ได้ครับอาจารย์   เพราะส่วนใหญ่ก็อยู่บ้านใกล้ๆกันและเด็กๆต้องมาที่โรงเรียนทุกวันอยู่แล้ว  เดี๋ยวผมจะชี้แจงกับพวกเขาเองครับ”

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ  ทุกคนก็เดินออกไปที่โต๊ะข้างเวทีไม้ขนาดสามคูณสี่ตารางเมตรที่สร้างขึ้นชั่วคราวด้วยการเอาถังน้ำมันขนาดสองร้อยลิตรมานอนเรียงกัน   ปูด้านบนด้วยไม้กระดานและตอกหลักมัดเชือกแน่นหนาพอสมควร   ของทั้งหมดถูกยกลงมาวางไว้บนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ  ทั้งถุงเสื้อผ้าที่ถูกแกะออกจากถุงใหญ่แล้ววางแยกเป็นสองกองระหว่างของเด็กกับของผู้ใหญ่  ถัดมาเป็นกองตุ๊กตาผ้ามีทั้งรูปหมี  ช้าง  กระต่าย  ส่วนสมุดดินสอไม้บรรทัด  ลูกฟุตบอลและของเล่นอื่นๆเช่นโดมิโน มิคาโด หมากรุก แบตมินตั้นถูกวางเรียงต่อกันไปรวมทั้งขนม ปลากระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป นมผง  สบู่ยาสีฟันแปรงสีฟันตลอดจนยาสามัญประจำบ้าน 

ผู้กองกิตติเดินขึ้นไปบนเวทีไม้  กล่าวทักทายทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นและแนะนำปรีชาพร้อมครอบครัวให้สมาชิกหมู่บ้านได้รู้จักต่อจากนั้นผู้กองก็ได้บอกให้ทุกคนทราบถึงวิธีการรับของ  ตามคำบอกของปรีชาโดยที่ปรีชาไม่ต้องการให้มีการเข้าแถวแล้วเดินเข้ามารับของแจกอย่างที่ทางราชการชอบทำแต่เขาต้องการให้ทุกคนทั้งเด็กและผู้ใหญ่นั่งรวมกันเป็นครอบครัว  แล้วจัดของเป็นชุดๆนำเข้าไปให้ตรงที่เขานั่งซึ่งจะสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเองมากกว่า
หลังจากที่ทุกคนนั่งรวมกันเรียบร้อยแล้วปรีชาได้เชิญผู้กองและทหารอีกสองสามคนที่อยู่ช่วยงานที่นั่นให้เข้ามาร่วมแจกของด้วยกัน บรรยากาศของเช้านี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเด็กๆที่ได้รับของเล่นและขนมนานาชนิด  ขณะที่เดินแจกของอยู่นั้นผู้กองกิตติก็ได้แนะนำเหม่ยและลูกๆที่นั่งรวมกับคนอื่นๆให้ปรีชาได้รู้จัก 

" อาจารย์ครับ นี่เหม่ยแม่ครัวที่ทำอาหารเช้านี้ครับ” เหม่ย พนมมือขึ้นกล่าวสวัสดีปรีชา
“ สวัสดีคะ”
“สวัสดีครับ   อาหารมื้อเช้านี้อร่อยมากครับ   โดยเฉพาะไก่ต้มรสชาติกลมกล่อมดีผมชอบครับ”
“ ขอบคุณคะ”
ปรีชารู้สึกแปลกใจที่หญิงสาวคนนี้รู้จักกล่าวคำขอบคุณด้วยสำเนียงไทยที่ชัดเจนและนอกจากนี้แม้ว่าเธอจะเป็นคนบ้านป่าแต่ผิวพรรณและนิ้วมือที่เรียวงามได้รูปของเธอไม่ได้บ่งบอกเช่นนั้นเลย  เหม่ยเป็น หญิงสาวที่มีผิวสีขาวออกเหลืองนิดๆ  ไว้ผมยาวแต่เกล้าเป็นมวยไว้ด้านหลังเสียบมวยผมด้วยปิ่นเงินมีภู่ประดับสองเส้น   ประแก้มสองข้างด้วยผงประแจะสีเหลืองทำให้ใบหน้าเธอยิ่งดูเปล่งปลั่งขึ้น   แม้ว่าเธอจะมีลูกแล้วถึงสองคนตามคำบอกของผู้กองกิตติ แต่เธอก็ยังรักษาทรวดทรงไว้ได้เป็นอย่างดี   หากไม่อุ้มลูกมาด้วยก็แทบจะดูไม่ออกเลยว่ามีลูกแล้ว   เธอนุ่งผ้าถุงทอมือสีดำปักลายชนเผ่ารอบชายและสวมเสื้อที่ตัดด้วยผ้าใยสังเคราะห์พิมพ์ลายดอก  แม้ว่าจะไม่ใช่เสื้อผ้าใหม่แต่ก็ดูสะอาดตา  ปรีชายื่นถุงเสื้อให้เธอซึ่งเขาบังเอิญสังเกตเห็นภายในถุงที่ใส่เสื้อผ้านั้นว่าเป็นของภรรยาของเขาที่โล๊ะออกมาจากตู้เสื้อผ้าที่บ้านและน่าจะยังมีกลิ่นหอมของน้ำหอมและเครื่องอบที่เธอใส่ไว้ในตู้ติดอยู่
“หวังว่าคงจะถูกใจนะ”
เหม่ยรับถุงนั้นไว้พร้อมมองขึ้นมาสบตาปรีชา “ขอบคุณค๊ะ”
เธอตอบสั้นๆ

หลังจากที่ใช้เวลาไม่นานการแจกของก็เสร็จสิ้นลง
“อาจารย์ครับวันนี้เด็กๆเขาได้เตรียมกิจกรรมแสดงความขอบคุณไว้ เป็นการเต้นรำของคนมอญที่เขาถ่ายทอดกันมา บรรดาผู้หญิงที่นี้เขารวมกลุ่มกันสอนเด็กๆ   ส่วนใหญ่ก็จะแสดงในวันสำคัญๆของพวกเขากันเอง   เป็นการรำที่ไม่เหมือนกับของไทยเราจังหวะท่ารำที่ค่อนข้างจะเร็วตามเสียงดนตรีและใช้การแสดงออกของอารมณ์ทางสีหน้าและสายตามากกว่าของบ้านเรา เครื่องดนตรีก็ง่ายๆครับ  พวกผู้ชายในหมู่บ้านเขาทำขึ้นมากันเองก็มีกลอง ระนาด ปี่และฉาบเท่านั้นครับ เชิญอาจารย์ทางนี้ครับ”
ผู้กองกิตติเดินนำปรีชาไปด้านข้างเวที   พอปรีชายืนรวมกลุ่มกับภรรยาและลูกๆแล้วผู้กองก็ขึ้นไปบนเวทีที่ไม่มีเครื่องขยายเสียงด้านหลังเวทีมีผ้าม่านสีแสดเหลือบๆแขวนอยู่ไม่มีลวดลายใดๆ ตัวหนังสือโฟมก็ไม่มี  ทุกอย่างเรียบง่ายแต่ไม่ไร้ซึ่งวัฒนธรรมที่ดีงาม  ผู้กองประกาศบอกกลุ่มการแสดงให้เตรียมตัวขึ้นมาทำการแสดงได้  เด็กหนุ่มวัยกลางคนสองสามคนขึ้นมาบนเวทีเปิดผ้าคลุมเครื่องดนตรีที่วางอยู่มุมด้านหลังเวทีออกแล้วคนหนึ่งก็นั่งลงประจำระนาด  คนหนึ่งนั่งประจำกลอง  อีกสองคนนั่งเยื้องถัดมาคนหนึ่งถือปี่อีกคนหนึ่งถือฉาบเล็กๆไว้ในมือ  เด็กผู้หญิงอายุราวๆสิบขวบ สิบสองขวบ  เกล้าผมเป็นมวยไว้ด้านหลังมีปิ่นไม้ปักและแซมด้วยดอกคูณสีเหลืองบางคนก็แซมด้วยดอกภู่ระหงสีแดง บางคนก็แซมด้วยดอกลั่นทมสีขาวที่หาได้ในบริเวณโรงเรียนเด็กผู้หญิงที่ขึ้นมาทำการแสดงบนเวทีนั้นก่อนหน้านี้ก็วิ่งเล่นอยู่กับพวกเพื่อนๆข้างล่าง บางคนคงจะเล่นสนุกมากเสื้อที่ตัดเย็บด้วยผ้าแพรซึ่งไม่ค่อยระบายความร้อนคงจะทำให้เธอเหงื่อออกจนเสื้อแทบจะเปียกไปทั้งตัว   ผ้าถุงสีดำบางคนมีคราบฝุ่นแดงติดเป็นปื้นๆ  บางคนก็มีรอยน้ำเปียกเป็นหยดๆถ้าไม่ใช่รอยน้ำหวานหกใส่ก็คงจะเป็นรอยน้ำที่วักมาล้างหน้าล้างเท้ากระเซ็นใส่  พอเด็กผู้หญิงขึ้นมายืนเรียงสองแถวหน้ากระดานซ้อนกันเรียบร้อยแล้ว   แถวหน้ามีสามคนแถวหลังมีสี่คน  

นักดนตรีที่นั่งรออยู่ด้านหลังก็พร้อมใจกันลงมือบรรเลงเพลงอย่างเมามันหัวสั่นหัวคลอน ....ตะ เรง เตร่ง เตร้ง ตุ่ง ป๊ะ ตุ่ง แช่ นี้ แน แหน่ แน้ ...  สาวน้อยนางรำพอได้ยินเสียงเพลงเท่านั้นแหละต่างคนต่างก็ออกท่าทางเหมือนกันแต่คนละจังหวะ บางคนโยกหัวไปทางซ้ายขณะที่คนอื่นๆเขาโยกหัวไปทางขวา   บางคนเตะขาไปข้างหลังขณะที่ทั้งกลุ่มเขาสบัดขาไปข้างหน้า  บางคนเอามือลงในขณะที่คนอื่นเขาแกว่งมือขึ้น  ผู้ชมตัวน้อยวัยไล่เรี่ยกันที่นั่งดูอยู่ด้านหน้าเวทีก็โยกตัวตบมือตามจังหวะดนตรี  บางคนเห็นความสับสนอลหม่านบนเวทีเป็นเรื่องตลกขบบันก็สะกิดเพื่อนแล้วชี้ขึ้นไปบนเวทีให้เพื่อนดู  พอไอ้เพื่อนเข้าใจก็พากันหัวเราะน้ำมูกทะลักออกมาเป็นฟอง  บางคนดูเพลินถือขนมไว้ในมือนั่งอ้าปากค้างลืมกิน  หมาสองสามตัวกัดกัน ล้งเล้งเง้งง้าง  ฝุ่นตลบเพราะแย่งเศษขนมค้างซองที่เด็กๆทิ้งไว้ตามพื้น
พอการแสดงจบทั้งนักดนตรีและนางรำต่างก็ได้รับเสียงปรบมือจากคณะของปรีชาและผู้ชมทั้งหลาย   แล้วปรีชาและครอบครัวก็ได้มอบเครื่องเขียน อุปกรณ์กีฬา  ยาสามัญประจำบ้านและทุนการศึกษาอีกส่วนหนึ่งให้กับผู้กองไว้เป็นส่วนกลางสำหรับหมู่บ้านและเด็กๆ
พอรับมอบของชุดสุดท้ายเสร็จ  ผู้กองก็ได้เป็นตัวแทนของชาวบ้านกล่าวขอบคุณปรีชาและครอบครัวที่ได้นำสิ่งของมาให้ในครั้งนี้ส่วนปรีชาก็กล่าวถึงความรู้สึกเชิงสัญญากับชาวบ้านว่าจะมาเยี่ยมอีกในปีต่อๆไป  
จนในที่สุดทุกวันนี้ปรีชาได้กลายเป็นสมาชิกคนหนึ่งของหมู่บ้านไปแล้ว...(3)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น